1.ผลคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2020 ออกมาชัดเจนแล้ว (แม้ยังไม่เป็นทางการ) คือนายโจ ไบเดน ชนะ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยคะแนนเสียง79.8 ล้าน ต่อ 73.7 ล้านเสียง คิดเป็น 51.1% ต่อ 47.2% คิดเป็นคะแนนตัวแทน (Electoral Vote) 306 ต่อ 232 (มีจำนวนประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งสูงกว่า 153.5 ล้านคน ถือเป็นสถิติสูงที่สุดเท่าที่เคยมี) แต่จนถึงขณะนี้ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ยังไม่ยอมรับผลว่าตนเป็นฝ่ายแพ้ และมอบให้ทีมงานกฎหมายเตรียมการต่อสู้ทางกระบวนการยุติธรรม ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีการเล่นนอกกติกา และดำเนินการโดยไม่ถูกต้อง นี่คือบทสรุปทั้งหมดของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2020 ในแง่มุมของข่าวสารทั่วไป แต่ในแง่ของรัฐศาสตร์ การเมืองและการปกครอง ผมมีประเด็นที่น่าสนใจอยู่ 3 เรื่อง ดังนี้
หนึ่ง ผลการเลือกตั้งที่ออกมาแบ่งประชาชนเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มที่สนับสนุนทรัมป์ และกลุ่มที่สนับสนุนไบเดน ที่มีจำนวนเกือบเท่ากัน คำถามที่น่าสนใจก็คือ ทำไมถึงออกมาเป็นเช่นนี้ สิ่งที่พบเมื่อย้อนกลับไปมองยุทธศาสตร์การหาเสียงของทั้งคู่ คือ ทีมหาเสียงเลือกที่จะตั้งกลุ่มเป้าหมายออกเป็นส่วนๆ อาทิ กลุ่มเมืองกับกลุ่มชนบท กลุ่มผิวขาวกับกลุ่มผิวสีกลุ่มคนรวยกับกลุ่มคนจน กลุ่มผู้ใช้แรงงานหรือคนทำงานกับกลุ่มเกษตรกร กลุ่มได้รับการศึกษาสูงกับกลุ่มได้รับการศึกษาน้อย เป็นต้น เพื่อสามารถที่จะส่งข้อมูลในด้านที่จะสร้างความสนับสนุนให้ตนเองต่อแต่ละกลุ่มได้อย่างละเอียดและแม่นยำ พร้อมนำเสนอเหตุผลที่จะยืนยันความเชื่อมั่นของกลุ่มต่างๆ ย้ำลงไปอีกว่า สิ่งที่พวกเขาคิด ความรู้สึกที่พวกเขาเชื่อ คือความถูกต้อง
2.รวมไปถึงการด้อยค่าคู่แข่งด้วยการสร้างความรู้สึกเกลียดชัง โกรธ หรือกลัว ผ่านการสื่อสารในทุกช่องทางที่มี(โดยเฉพาะออนไลน์) เพื่อที่จะลดทอนความน่าเชื่อถือของอีกฝั่ง ซึ่งทำกันอย่างเป็นระบบผ่านบริษัทที่ปรึกษาทางการตลาดและการประชาสัมพันธ์ ที่จะรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ และบริหารจัดการรูปแบบของเครื่องมือและจังหวะในการสื่อสารที่เหมาะสม และนี่คือการแบ่งแยกและปกครองอย่างชัดเจน ที่ทำให้ประชาชนชาวอเมริกันต้องพ่ายแพ้ต่อการปลุกปั่นของทีมสื่อสารประจำคณะของผู้สมัครฯ ซึ่งน่าจะเป็นผู้ชนะตัวจริงสำหรับการเลือกตั้งในครั้งที่ผ่านมานี้
สอง มาว่ากันด้วยเรื่องของการหยั่งเสียงจำลอง หรือการทำโพลล์ ซึ่งก็มีเจ้าภาพทั้งของทีมเลือกตั้ง ทีมสื่อสารมวลชน รวมไปถึงการทำโพลล์กับคนที่เพิ่งเดินออกจากคูหาลงคะแนน (Exit Poll) ซึ่งถ้าสังเกตกันดีๆ การเลือกตั้งที่ผ่านมาพบว่า ผลการหยั่งเสียงของโพลล์มีส่วนอย่างมากต่อการชี้นำประชาชนให้คล้อยตาม ดังนั้น โพลล์จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของกลยุทธ์ทางการหาเสียง ทำให้แทนที่จะทำโพลล์เพื่อหาข้อมูลที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่คาดว่าจะได้ผลลัพธ์เช่นนั้น ก็กลายเป็นการทำโพลล์เพื่อชี้นำให้คนทราบถึงความนิยมของผู้สมัคร (ที่ว่าจ้าง หรือตัวเองสนับสนุน) ว่ามีมากมายเพียงใด และความนิยมของคู่แข่งขันที่ตกต่ำ และมีปัญหา
3.กระนั้น เมื่อเวลาผ่านไป การชี้นำความคิดของประชาชนจากโพลล์เริ่มถูกจับทางได้ ประชาชนส่วนใหญ่ก็เลยเลือกที่จะไม่ให้ความสำคัญต่อคำตอบที่ออกมาจากตัวเองหรือแกล้งตอบไปอย่างนั้น จึงเกิดผลลัพธ์ที่ตามมาคือ ความคลาดเคลื่อนของโพลล์ที่ไกลจากความเป็นจริงมาก ดังนั้น ทีมสื่อสารทางการเมืองจึงหาทางแก้เกมได้ด้วยการหยิบโพลล์เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมความเชื่อมั่นในการนำเสนอของสื่อออนไลน์ตามช่องทางต่างๆ และนั่นก็กลายเป็นเครื่องมือฝังความเชื่อมั่นอย่างดีที่ทำให้ประชาชนผู้รับสารคล้อยตามข้อมูลต่างๆ ที่ตนเองได้รับมาอย่างเข้มข้น จนตกอยู่ในสภาพที่เรียกว่า “ห้องขังเสียงสะท้อน” (Echo Chamber) คือ ตนเองถูกขังในห้องที่ส่งเสียง (ข้อมูลและความคิด) ชุดเดียวซ้ำๆจนกลายเป็นความคิดและความเชื่ออันแท้จริง (ตามที่ตนเข้าใจ)และปฏิเสธความคิดและข้อมูลที่แตกต่างโดยอัตโนมัติ
สาม การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งนี้ เกิดขึ้นบนเงื่อนไขที่มีน้ำหนักต่อการตัดสินใจใน 2 เรื่อง ซึ่งเป็นวิกฤติที่ซ้อนวิกฤติของชาวอเมริกันในช่วงเวลาที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้คือ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ที่ทำให้คนอเมริกันติดเชื้อทั้งหมดกว่า 12 ล้านคน และเสียชีวิตกว่า 2.5 แสนคนนำมาสู่การต่อสู้ทางนโยบายคือ ด้านหนึ่งเสนอให้ใช้มาตรการควบคุมการเคลื่อนที่ของคนในเมืองที่มีการแพร่ระบาดสูง ส่วนอีกด้านหนึ่งเสนอให้เปิดเมืองให้คนสามารถทำกิจกรรมทางธุรกิจได้ ซึ่งความเห็นต่างทางความคิดและการต่อสู้เพื่อเอาชนะของทั้งทรัมป์และไบเดนในเรื่องโควิด-19 นี้ ส่งผลให้สถานการณ์โควิด-19 ไม่ดีขึ้น และคนอเมริกันเองที่รับผลเสียหายโดยตรง
4.สำหรับอีกเรื่อง เป็นการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ชายผิวดำที่ถูกตำรวจในเมืองมินนาโปลิสจับกุมและทำให้เสียชีวิตด้วยการกดศีรษะของเขาจนขาดลมหายใจ (26 พฤษภาคม 2020) ส่งผลให้เกิดการประท้วงตำรวจกระจายไปทั่วสหรัฐฯ ซึ่งการเสียชีวิตของฟลอยด์ถูกนำขึ้นมาเป็นประเด็นทางการเมืองว่าด้วยเรื่องสิทธิเสรีภาพของคนผิวสีในสหรัฐฯ ที่มีประวัติการต่อสู้ในเรื่องนี้มาอย่างยาวนาน และนี่เองที่นำไปสู่การต่อต้านนโยบายเลือกปฏิบัติของประธานาธิบดีทรัมป์ในด้านต่างๆ เช่น สิ่งแวดล้อม การรักษาพยาบาล และความยุติธรรม เป็นต้น แน่นอนว่า นี่คือฟืนชั้นดีของทีมสื่อสารการเมืองที่จะนำมาสร้างเป็นไฟแห่งความเกลียดชัง และความโกรธเพื่อผลลัพธ์ทางความนิยมต่ออีกฟากฝั่งทางการเมือง
นี่คือทั้ง 3 ประเด็นที่ผมให้ความสนใจต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อยากให้เรามาร่วมด้วยช่วยกันคิด ผ่านคำถามทั้ง 3 ข้อ ดังต่อไปนี้
1. เหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้ มีหรือไม่ในประเทศไทย และถ้ามี เราจะจัดการกันอย่างไร
2. ความเหลื่อมล้ำ การเลือกปฏิบัติของนโยบายรัฐ ไปจนถึงวิกฤติการเสพสื่อ (สะกดจิตความเชื่อ) ที่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการสร้างความขัดแย้ง ผ่านความเกลียด โกรธ และกลัวต่อกัน เราจะแก้ไขอย่างไร
และ 3. การใช้เสรีภาพของสื่อที่ขาดความรับผิดชอบต่อส่วนรวม และนำไปสู่ความแตกแยกในสังคม เพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางธุรกิจ ประชาชนจะเห็นชอบและยอมรับได้แค่ไหน
สำหรับผม มีคำตอบของตัวเองแล้ว ส่วนคำตอบของเราคือ อนาคตของประเทศไทยครับ
กนก วงษ์ตระหง่าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี