วิถี'บ้านบางโรง' น้อมนำ'หลักศาสนา-ศาสตร์พระราชา' พลิกฟื้นธรรมชาติ-ชีวิตชุมชน

วิถี'บ้านบางโรง' น้อมนำ'หลักศาสนา-ศาสตร์พระราชา' พลิกฟื้นธรรมชาติ-ชีวิตชุมชน

วันจันทร์ ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2563, 19.47 น.

วิถีธรรมชาติ วิถีชุมชน คือแนวทางของความอยู่รอด และอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติภายใต้บริบทท้องถิ่น ที่สั่งสมผ่านกาลเวลา บ้างเรียบง่าย บ้างซับซ้อน แต่ด้วยปัจจัยมากมายทั้งจากภายนอก และภายในกันเองที่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป อาจทำให้สิ่งเหล่านี้ถูกสั่นคลอน

“แนวหน้า”มีโอกาสติดตามมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อสำรวจ พูดคุยกระบสนการการพลิกฟื้น”ธรรมชาติ” และจัดการ”วิถีชีวิตชุมชน” ตามหลัก” ความพอเพียง”


ที่นี่ชุมชน”บ้านบางโรง” ตั้งอยู่ใน หมู่ที่ 3 ต.ป่าคลอง อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เราได้พบกับ’เสบ เกิดทรัพย์ ‘หรือ’บังเสบ’ ผู้จัดการกลุ่มออมทรัพย์อัลอามานะห์ บ้านบางโรง

หนุ่มใหญ่มุสลิม  ผู้น้อมนำหลัก”ศาสนา”มาซ้อนทับกับ”ศาสตร์พระราชา” จนเป็นวีถีในการอยู่รอดอย่าง”พออยู่ พอกิน อย่างพอเพียง”และพัฒนาต่อยอด จนสามารถฟื้นฟูธรรมชาติ และสร้างรายได้ให้ชุมชน

‘บังเสบ’ย้อนความให้เราฟังว่า หลายปีก่อนบางโรงเกิดความแตกแยก ทั้งเรื่องการเมือง สังคมทำลายทรัพยากร นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้น ผมจึงต้องไปวิจัยหาคำตอบว่าจะแก้ปัญหาให้ชุมชนอย่างไร  ซึ่งป่าชายเลนแถวนี้ถูกซื้อไปทั้งนั้น ทำไมถึงซื้อได้ เมื่อก่อนรัฐเป็นผู้ดูแล ชาวบ้านไม่ได้มีส่วนร่วมเลยที่ภูเก็ตมีประมาณ3-4 หมื่นไร่ ตอนนี้เหลือหมื่นกว่าไร่ ถ้าถามว่าทำไม่ถึงซื้อได้ ก็ต้องกลับไปถามรัฐบาลดู ถามกรมป่าไม้ ทำไมถึงออกโฉนดได้ ชาวบ้านตัดไม้ด้วยมีดพร้า ด้วยขวาน จะไปทำบ้านทำเล้าไก่ ถูกเจ้าหน้าที่จับ แต่นายทุนกลับเอารถแบ็คโฮมาลงได้ เป็นอย่างนี้เรื่อยมา จนมายุคคสช.ก็มีการยึดกลับคืนมาเพื่อปลูกป่า

“เมื่อก่อนกุ้ง หอย ปูปลามากมาย จะหย่อนตรงไหนก็ได้หมด แต่หลังจากนั้นมันหายไป เพราะเมื่อป่าชายเลนถูกทำลาย และหายไป ระบบนิเวศน์เหล่านี้ก็หายไปด้วย สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรม จากป่าชายเลน 2,900 ไร่ เหลือเพียงไม่กี่เปอร์เซ็น เมื่อแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำหายไปก็ส่งผลให้ปริมาณสัตว์น้ำลดลง และยังส่งผลและรวมไปถึงปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมภายในชุมชน ผมและชาวบ้านพยายามเรียกร้องให้มีการยกเลิกสัมปทานดังกล่าว จนต่อมารัฐได้ปิดป่าในปี 2539”

หลายปีที่ทรัพยากรถูกทำลาย บั่นทอนระบบนิเวศน์ไปจนผิดเพี้ยน มาตรการปิดป่าจากภาครัฐอาจไม่ทำให้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมเต็มร้อย การฟื้นฟูและอนุรักษ์จึงเป็นวาระเร่งด่วน เพราะไม่ใช่แค่ชั่วข้ามคืนที่ธรรมชาติเหล่านั้นที่ถูกทำลายไปจะคืนมา

เมื่อประมาณปี 2545 ผมจึงต้องทำการวิจัย เพื่ออนุรักษ์ ก็ไปสืบค้นว่าสิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 บอก มันอยู่ในหลักศาสนาอิสลามด้วยหรือไม่ สุดท้ายมันอยู่ในหลักการศาสนาทั้งหมด เราอนุรักษ์เพื่อกิน อนุรักษ์เพื่อใช้ ถ้าเราทำลายมันก็กระทบกับตัวเราเอง ซึ่งก็คือพวกเรา คนบ้านบางโรง

ถ้าหวังจะเราแต่รัฐบาลต ซึ่งแต่ละปีตั้งงบประมาณในการอนุรักษ์น้อยมาก ถ้าเราจะรอแต่ภาครัฐไม่ทัน เราต้องทำกันเอง

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2542-2543 ‘บังเสบ’ มีโอกาสได้เข้าอบรมความรู้เรื่อง”เศรษฐกิจพอเพียง”และไปดูงานโครงการในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 หลายโครงการโดยเฉพาะโครงการต้นแบบที่สวนจิตรดา นั่นคือจุดเริ่มต้นของแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ที่จะน้อมนำองค์ความรู้”ศาสตร์พระราชา”มาปรับใช้ เพื่อพัฒนาชุมชน

เมื่อนำเอาความรู้ที่ได้มาคิดทบทวนก็เห็นว่าหลักการเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกันกับหลักศาสนาอิสลามคือมือนึงทำไม่ได้คิดว่ามือนั้นต้องได้แต่จะได้อีกมือนึงหรือมืออื่นๆ ได้ประโยชน์ ผมจึงเอามาปรับใช้กับชุมชนที่นี่ที่เป็นชุมชนมุสลิมได้ ในหลวงท่านไม่ได้บอกว่าให้ทำแบบนี้แบบนั้น แต่พระองค์ให้แบบวงกว้าง ให้เอาไปปรับใช้ในแต่ละพื้นที่ พระองค์ให้หลักคิด เป็นการอนุรักษ์เพื่อกินเพื่อใช้ จึงได้ร่วมมือกับชาวบ้านมาทำ แม้ตอนแรกจะมีคนทำน้อยก็ตาม แต่ก็ค่อยเห็นผลมากขึ้น

“สิ่งที่ชาวมุสลิมต้องเชื่อก็คือทุกอย่างที่พระเจ้าให้มา พระเจ้าเป็นผู้สร้างทั้งหมด หน้าโคลนดินของป่าชายเลน ถ้าไม่มีปูม้า โคลนมันก็จะสกปรก ปูม้า ปลิง มันก็จะกินโคลนพวกนี้ มันมีการบำบัดของมัน ผมเคยบอกชาวบ้านว่ามดตัวหนึ่งมันก็มีค่า มันมีค่ายังไง ก็ตอนเราทำของหวานๆตก มดมัก็มารุม ถ้าเยอะเกินไป เราทำลายธรรมชาติให้ไม่มีความสมดุล มดมันก็เยอะเกินไป ซึ่งมันก็สอดคล้องหลักเศรษฐกิจพอเพียง อย่างเช่นทำไม พระองค์ท่านต้องอนุรักษ์ต้นไม้ เพราะตอนหน้าแล้งมันผลัดใบ ก็จะคลายน้ำออกมา พอหน้าฝนก็จะช่วยสร้างต้นน้ำ ทำไมปัจจุบันน้ำมาก แต่เราไม่มีน้ำกินเพราะเรามีปัญหาที่ต้นไม้”

แนวทางการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของบ้านบางโรงนั้น จะเน้นที่การปลูกจิตสำนึกให้ชาวบ้านตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการคงอยู่ด้านทรัพยากร เน้นให้คนมีจิตสำนึก แล้วจะค่อยๆช่วยกันรักษาทรัพยากรด้วยตัวเอง ปัจจุบันชุมชนมีโครงการท่องเที่ยวเกษตรเชิงอนุรักษ์ การท่องเที่ยวรูปแบบนี้ เป็นการเที่ยวที่ต่างจากการเที่ยวบริเวณหาดป่าตอง  หาดกะตะ หาดราไวย์ ฯลฯ หากแต่เป็นการท่องเที่ยวที่ได้เรียนรู้ถึงวิถีชีวิตของชาวบ้าน มีกิจกรรมการวางอวน การตกหมึก การตักปลาถือเป็นกิจกรรมที่ไม่พบจากพื้นที่อื่นในจังหวัดภูเก็ต นอกจากนี้แล้ว ยังมีบ้านพักโฮมสเตย์ของชุมชนร้านอาหารครัวชุมชนซึ่งเป็นอาหารทะเลสดๆจากกระชังเลี้ยงปลา ไว้บริการแก่นักท่องเที่ยวที่สนใจมาเรียนรู้

และเมื่อวิกฤติครั้งใหญ่เข้ามาท้าทาย ความรุนแรงของมันเป็นสิ่งที่เกินควบคุม เพราะผลกระทบจากพิษสงคือสิ่งที่ต้องเผชิญร่วมกันในระดับ”มนุษยชาติ”

“ประเทศไทย”และภูเก็ต”ก็ไม่อาจหนีพ้นเงื้อมมือนี้ กับสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19  มาตรการ”ชัตดาวน์” ปิดประเทศ จากจังหวัดท่องเที่ยวเบอร์ต้นสำคัญ ทุกชายหากคลาคล่ำไปด้วนักท่องเที่ยวต่างชาติ สิ่งที่หนีไม่พ้นคือภาวะ”ตกงาน” ของชาวภูเก็ตเกินจะนับไหว หลายคนเลือกที่จะเดินทางกลับบ้าน แล้วกลับสู่อาชีพประมงตามวิถีชาวบ้าน

“ก่อนจะมีโควิด ภูเก็ตป็นเมืองท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวหมุนเวียนเป็นหลายล้านคน ชาวภูเก็ตส่วนใหญ่ ก็จะมีรถตู้เพื่อทำอาชีพรับนักท่องเที่ยว แต่พอโควิดระบาด ต้องปิดประเทศ ไม่มีนักท่องเที่ยว เมืองแทบจะกลายเป็นเมืองร้าง ก็ต้องขายรถกตู้ทิ้ง แล้วเอาเงินมาซื้อเรือ “

ผู้นำชุมชนเล่าว่าในช่วงที่การท่องเที่ยวในภูเก็ตซบเซาคนในชุมชนบ้านบางโรงที่เคยทำงานที่โรงแรม บริษัททัวร์ หรือขับรถตู้รับนักท่องเที่ยว กลับมาสู่ชุมชนมากขึ้นกลับมาใช้ชีวิตแบบประมงพื้นบ้านออกเรือจับปลา หาสัตว์น้ำ สร้างรายได้เฉลี่ยวันละ 2,000 - 3,000 บาท

นอกจากนี้ อีกหนึ่งโครงการแห่งความภาคภูมิใจของชาวบางโรง ในการอนุรักษ์สัตว์น้ำอย่าง”ปูม้า” ที่นับวันจะถูกไล่ล่าแบบไร้ฤดูกาล หรือไร้ปราณีกระทั่งปูตัวเมีย ที่ไข่เต็มท้อง ซึ่งพฤติกรมเหล่านี้จะส่งผลเสียระยะยาว เป็นการทำลายวงจรการแพร่พันธุ์ของ”แม่ปูตัวเมีย”ให้ไม่เป็นไปตามระบบที่ควรเป็น และตัดตอนวิถีธรรมชาติ กระบวนการอนุรักษ์ ฟิ้นฟูจึงเป็นเรื่องจำเป็น โดยชุมชนแห่งนี้ ใช้วิธีจัดทำเป็น”ธนาคารปูม้า” ซึ่งเพื่อเป็นการกระตุ้นจิตสำนึกสมาชิกชุมชน โดยมี’สมชาย เชื้อสง่า’ ประธานกลุ่มธนาคารปูม้ากลุ่มประมงพื้นบ้าน บ้านบางโรง เป็นผู้นำผลักดันและขับเคลื่อน

สมชาย เล่าว่า การทำประมงพื้นบ้านเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตชุมชน และเป็นรายได้หลัก แต่ก่อนเดิมทีชาวบ้านจะใช้อวนปู ที่ตาข่ายอาจจะถี่ได้ปูตัวเล็กตัวน้อย ถ้าจับได้โดยไม่มีการฟื้นฟู หรือคืนลูกปู หรือแม่ปูที่มีไข่สู่ทะเล นับวันประชากรปูม้าก็จะลดน้อยถอยลง ไม่สามารถขยายพันธ์ุได้ในจำนวนเช่นเดิม ซึ่งจะส่งผลกับรายได้ของชาวบ้าน เราจึงหาแนวทางทางการฟื้นฟู โดยเมื่อปี 2558 เราเข้าร่วมเครือข่ายอนุรักษ์ทะเลชายฝั่ง และตั้งธนาคารปูม้าขึ้นมา เพื่อเป็นแหล่งขยายพันธุ์ลูกปูม้าและเป็นศูนย์เรียนรู้ให้กับสมาชิกในชุมชน โดยผลสำเร็จของ”โครงการธนาคารปูม้า”ช่วงเวลา 3 ปีเราสามารถปล่อย”แม่ปูตัวเมีย”ไปแล้วกว่า 5,000 ตัว ไข่กว่า 3,500 ล้านฟอง คิดตามโอกาสรอด จะเหลือประมาณ 525 ล้านตัว นับเป็นตัวเลขมหาศาลที่น่าพอใจ

อย่างไรก็ดี รูปแบบการจัดการต่างๆ ทั้งการเพาะเลี้ยง ขยายพันธ์ุ ปล่อยแม่ปู นอกจากคุณค่าของการตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรทาทะเล และสัตว์เศรษฐกิจของชุมชน ที่สร้างผลตอบแทนและคืนชีวิตชีวาให้ธรรมชาติแล้ว ยังสามารถลดเวลาและระยะทางในการออกเรือ จากเดิมต้องออกเรือไปในทะเลไกลกว่า 10 กิโลเมตร ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง แต่เมื่อมีธนาคารปูม้า และใช้เวลาขับเคลื่อนเพียงปีเศษ ก็ย่นการออกเรือไปแค่ 2 กิโลเมตร ใช้เวลาแค่ 4-5 นาที ก็สามารถจับปูได้ นี่คือส่วนหนึ่งของกระบวนการอนุรักษ์ และฟื้นฟูธรรมชาติ ที่ทรงคุณค่าและยั่งยืน

ที่สุดแล้ววัฏจักรแห่งธรรมชาติ และการอยู่รอดของทั้งมนุษย์ และสิ่งแวดล้อม จะจัดการตัวมันเองร่วมกัน ด้วยองค์ความรู้ที่สั่งสมมาจากอดีต และความผิดพลาด เพื่อพาทุกชีวิตไปสู่ความั่งยืน บนวิถีแห่งความพอเพียง

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top