เมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดงานประชุมเสวนาวิชาการภายใต้แผนงานคนไทย 4.0 โดยหนึ่งในนั้นเป็นการบรรยายพิเศษหัวข้อ “คนไทยในโซเชียลมีเดียจีน” โดยผู้บรรยายคือ ดนัยธัญ พงษ์พัชราธรเทพ อาจารย์วิทยาลัยศิลปะสื่อและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันของชาวจีน โดยชาวจีน 933 ล้านคน จากประชากรจีนทั้งหมด 1,400 ล้านคน เข้าถึงอินเตอร์เนตในจำนวนนี้ร้อยละ 90 เข้าถึงผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนและชาวจีนใช้อินเตอร์เนตเฉลี่ย 28 ชั่วโมง/สัปดาห์ หรือ 4 ชั่วโมง/วัน
โดยแพลตฟอร์มหรือแอพพลิเคชั่นด้านต่างๆในสังคมจีน แบ่งเป็น 1.สังคมแลกเปลี่ยนข้อมูล มีเครื่องมืออย่าง ไปตู้ (Baidu) 2.สังคมชุมชนออนไลน์ ที่รู้จักกันดีคือ วีแชต (WeChat) หรือ เว่ยป๋อ (Weibo) 3.สังคมนักท่องเที่ยว ทั้งที่เป็นบริษัทนำเที่ยวเดิมอย่าง ซีทริป (Ctrip) และแพลตฟอร์มใหม่อย่าง หม่าเฟิงหว่อ (MaFengWo) 4.สังคมนักช็อป เช่น เถาเป่า (Taobao) หรือ เสี่ยวหงชู (Xiaohongshu) 5.สังคมคลิปสั้น เช่น ติ๊กต็อก (TikTok) หรือ บิลีบิลี (Bilibili) นอกจากนี้ยังมีสังคมคนรักการกิน คนชอบอ่านข่าว และคนรักการฟัง
ดนัยธัญ กล่าวต่อไปว่า แม้ในปี 2563 จะเป็นปีแรกที่ไม่ได้เดินทางไปประเทศจีนในรอบ 15 ปีที่ศึกษาเรื่องจีนแต่ก็ยังติดตามความเป็นไปของสังคมชาวจีนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของจีน รวมถึงมุมมองของชาวจีนที่มีต่อชาวไทยด้วย โดยแบ่งเป็น 4 ยุคคือ 1.ปี 2545-2551 ช่วงนั้นสื่อสังคมออนไลน์ยังมีไม่มาก ชาวจีนจะรู้จักชาวไทยผ่านนักท่องเที่ยว นักธุรกิจ นิตยสารท่องเที่ยว สถานีโทรทัศน์กรมประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลจีน (CCTV) และแพลตฟอร์มค้นหาข้อมูลอย่าง Baidu (เหมือนกับ Google ของโลกตะวันตก)
ในยุคนั้นสิ่งที่ชาวจีนมักพูดถึงชาวไทยคือ 1.1 สาวประเภทสอง แต่เป็นการพูดถึงในแง่ไม่ดีนัก คือมองสาวประเภทสอง หรือกะเทยว่าเป็นกึ่งมนุษย์กึ่งสิ่งมีชีวิตประหลาด 1.2 ความยากจนล้าหลัง เช่น บอกว่าชาวไทยยังขี่ช้างไปเรียนหนังสือ 1.3 สังคมเสื่อมโทรมเมืองใหญ่ เช่น ปัญหาการขายบริการทางเพศ ยาเสพติด รวมถึงเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 1.4 ศาสตร์ลี้ลับ วัด ผี และมวยไทย ซึ่งเป็นผลมาจากภาพยนตร์แนวแอ๊กชั่นและแนวสยองขวัญจากประเทศไทย และ 1.5 เกษตรธรรมชาติ มองสังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรม
2.ปี 2551-2555 ภาพลักษณ์ชาวไทยในสายตาชาวจีนเริ่มเปลี่ยน จากปัจจัยสำคัญหรือภาพยนตร์และละครไทยถูกนำไปเผยแพร่ในจีน เริ่มมีเว็บไซต์ให้ผู้คนอัพโหลดวีดีโอ โดยในจีนคือ Youku (เหมือนกับ Youtube ของโลกตะวันตก) ขณะที่ Baidu เริ่มมีข้อมูลเกี่ยวกับประเทศไทยมากขึ้น ส่วนสถานีโทรทัศน์ระดับมณฑลก็เริ่มนำรายการที่ผลิตในประเทศไทยไปออกอากาศมากขึ้น มีชุมชนออนไลน์ของชาวจีนรุ่นใหม่พูดคุยกันเรื่องสังคมไทย ซึ่งในยุคนี้ชาวจีนจะทึ่งมากกับความคิดสร้างสรรค์ในการทำละครหรือภาพยนตร์ของชาวไทย
“สาวสองยังอยู่ แต่มองว่าเป็นสังคมเปิด วิถีชีวิตแบบไทยมีความคิดสร้างสรรค์ โฆษณาไทยก็ฮิตในจีนกรุงเทพฯ กลายเป็นหนึ่งในเมืองที่มีความทันสมัยในอาเซียนทัศนียภาพของประเทศไทยเปลี่ยนไป ภาษาไทยเริ่มสนใจ ผมไปขึ้นรถเมล์ พอพูดภาษาไทยมีคนมาทักว่าเป็นคนไทยใช่ไหม? ภาพลักษณ์เราเปลี่ยนมาก การเมืองไทยเริ่มเป็นที่ติดตามของคนจีน วัฒนธรรมไทยก็เริ่มเป็นมุมบวกมากกว่าลบ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังปี 2012 (2555) ผมสรุปว่าสื่อบันเทิงเป็นจุดเปลี่ยนในการรับรู้ต่อภาพลักษณ์คนไทยใน Social (สังคม) จีน” อาจารย์ดนัยธัญ กล่าว
3.ปี 2555-2563 เป็นยุคที่ชาวจีนเริ่มเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น โดยอิทธิพลสำคัญมาจากภาพยนตร์จีนเรื่อง Lost in Thailand (แก๊งม่วนป่วนไทยแลนด์) โดยใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนเป็นเครื่องมือช่วยเหลือในระหว่างการท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังเห็นชาวจีนที่เปลี่ยนจากนักท่องเที่ยวเป็นนักลงทุน คนเหล่านี้เป็นผู้อธิบายภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้ชาวจีนด้วยกันรับรู้ในยุคนี้ชาวจีนจะมองสังคมไทย 3.1 เสรีภาพของผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBT) 3.2 นิสัยคนไทยเช่น เป็นมิตร ชอบความสนุกสนาน และไม่เร่งรีบ (Slow Life)
3.3 เมืองท่องเที่ยวที่มีสีสันหลากหลายทั้งกลางวันและกลางคืน บนความคุ้มค่าคุ้มราคา 3.4 เมืองแห่งโอกาสทางการค้าการลงทุน 3.5 เป็นเมืองน่าอยู่ทั้งด้านวัฒนธรรมการศึกษา อากาศและสิ่งแวดล้อม แม้ประเทศไทยจะประสบปัญหาหมอกควัน แต่ชาวจีนก็ยังมองประเทศไทยว่าอากาศดี โดยมีคำเปรียบเปรยว่าประเทศไทยเหมือนสวนหลังบ้านของจีน หมายถึงอยู่ใกล้ เป็นแหล่งอาหารปลอดภัย และเหมาะกับการพักผ่อน
และ 4.ปี 2563-ปัจจุบัน ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของ “ไวรัสโควิด-19” มีการใช้คำทำนองว่า “จีน-ไทยพี่น้องกัน” ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในระดับประชาชน ที่ผ่านมาคำนี้จะใช้ระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลเท่านั้น คาดว่ามาจากในช่วงที่สถานการณ์โรคระบาดเริ่มรุนแรงในจีนขณะที่ไทยยังไม่มีสถานการณ์ (ก่อนเดือนมี.ค. 2563) มีการส่งกำลังใจจากชาวไทยไปยังชาวจีน
นอกจากนี้ยังชื่นชมว่า“ประเทศไทยมีความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจึงควบคุมการระบาดของโรคไว้ได้” ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยถูกกล่าวถึงในสังคมจีน ดังนั้นมีความเป็นไปได้ว่า หากพูดถึงการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ประเทศไทยคงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ชาวจีนจะเดินทางเข้ามาทั้งเพื่อใช้บริการและศึกษาหาความรู้ ทั้งนี้ หากมองจากสิ่งที่ชาวจีนนึกถึงชาวไทย เช่น จิตใจดี อ่อนโยน เป็นมิตรมีมารยาท เปิดกว้าง สนุกสนาน ไม่เร่งรีบ และมีความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก็สรุปได้ว่าภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายคนจีนยังค่อนข้างดี
“นักท่องเที่ยวจีนหายไปทั้งหมดในช่วงนี้ หรือถึงเวลาหรือยังที่เราต้องกระจายความเสี่ยงไปหานักท่องเที่ยวประเทศอื่นๆ แต่ในความคิดของผม ถ้าหากเรามองจีนซึ่งมีนักท่องเที่ยวอยู่หลายกลุ่มมาก การกระจายความเสี่ยงก็อาจจะหมายถึงการกระจายความเสี่ยงในเชิงว่านักท่องเที่ยวแบบกลุ่มทัวร์ แบบ So-Lo-Mo (Social-Local-Mobile : ใช้โทรศัพท์มือถือหาข้อมูลทางออนไลน์ในสถานที่ที่เดินทางไปเที่ยว) ในขณะที่เราจะได้กลุ่มใหม่ คือกลุ่ม Hi-end (รายได้สูง) เข้ามา อันนี้ก็เป็นรูปแบบการกระจายแบบรูปแบบหนึ่ง” อาจารย์ดนัยธัญ ให้ความเห็น
อาจารย์ดนัยธัญ ยังกล่าวอีกว่า การเรียนรู้ชาวจีนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของจีน ทำให้สามารถวางกลยุทธ์ที่เชื่อมกับประเทศจีนได้ดีขึ้น ซึ่งสำหรับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็มีชาวจีนมาเรียนอยู่พอสมควร จึงมีการจัดกิจกรรม เช่น ให้ความรู้กับผู้ประกอบการไทยในการขายสินค้าออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์ม Taobao ขณะเดียวกันยังเป็นความโชคดีของ จ.เชียงใหม่ ที่มีชาวจีนอยู่เป็นจำนวนมาก
เพราะคนเหล่านี้จะเป็นสื่อกลางบอกต่อกับชาวจีนเพื่อนร่วมชาติ ว่าจริงๆ แล้วชาวไทยเป็นอย่างไร!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี