ผ่านมาแล้วปีเศษกับสถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 และขณะนี้หลายประเทศเริ่มทยอยฉีดวัคซีนกันแล้ว โดยเมื่อบ่ายวันที่ 8 ม.ค. 2564 มีการประชุมวิชาการ (ออนไลน์) เรื่อง“เมื่อไหร่...คนไทยจะได้ใช้วัคซีน COVID-19” จัดโดยคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่ง ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัจจุบันมีวัคซีนโควิด-19ที่อยู่ในการทดลองระยะที่ 3 (Phase 3) จากผู้พัฒนาที่ใช้เทคโนโลยีแตกต่างกัน 5 แบบ คือ
1.Viral Vector การนำเชื้ออื่นที่ไม่มีอันตราย เช่น เชื้อตระกูลไข้หวัด มาเป็นตัวนำพาพันธุกรรมของชิ้นส่วนเล็กๆ ของเชื้อโควิด-19 เข้าไปกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกัน กลุ่มนี้มีAstrazeneca/Oxford, J&J, Gamaleya และ Cansino Bio 2.Protein Vaccine โปรตีนวัคซีน กลุ่มนี้มี Novavax,Madicago/GSK, ZFSW, Bektop และ Clover,GSK/Dynavax
3.Inactivated นำเชื้อมาฆ่าให้ตายแล้ว กลุ่มนี้เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมวัคซีนเก่าแก่ มีโรงงานเพาะเลี้ยงเชื้อขนาดใหญ่ที่เก็บรักษาอย่างปลอดภัย แบ่งเป็น BIBP, Sinovac, Sinopharm และ IMB จากจีน Bharat จากอินเดีย และ RIBSP จากคาซัคสถาน 4.DNA กลุ่มนี้มี 2 ราย คือ AnGes/Osaka U. กับ Zydus และ 5.mRNA กลุ่มนี้คือ Pfizer/BioNTech กับ Moderna
โดยจากทั้งหมดข้างต้น มี 4 รายที่ทดลองระยะ 3 เสร็จสิ้นและขึ้นทะเบียนพร้อมใช้งานแล้ว คือ Pfizer/BioNTech มีผลการทดสอบเชิงประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสโควิด-19 อยู่ที่ร้อยละ 95, Moderna ร้อยละ 94, Astrazeneca/Oxford ร้อยละ 62 และ Sinopharm ร้อยละ 79อนึ่ง การวิจัยวัคซีนโควิด-19 แตกต่างจากการวิจัยวัคซีนป้องกันโรคอื่นๆ ที่ผ่านมา คือ เน้นว่าวัคซีนต้องสามารถใช้กับผู้สูงอายุได้อย่างปลอดภัยด้วย
เช่น วัคซีนของ Pfizer/BioNTech พบว่า เมื่อฉีดแล้วผู้สูงอายุมีอาการผลข้างเคียงน้อยกว่าคนหนุ่ม-สาว ทั้งนี้ ประเทศร่ำรวยกล้าทุ่มทุนสั่งจองวัคซีนไว้ก่อนล่วงหน้าตั้งแต่ยังไม่ขึ้นทะเบียน เช่น สหรัฐอเมริกา สั่งจองไว้ถึง 300 ล้านโดส และต่อมายังสั่งเพิ่มอีก 500 ล้านโดส, ประเทศกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) 1,100 ล้านโดส, ญี่ปุ่น 120 ล้านโดส ที่น่าสนใจคือ สหรัฐฯ อังกฤษ แคนาดา และออสเตรเลียสั่งจองวัคซีนไว้มากกว่าจำนวนประชากรในประเทศ
“ตอนนี้ทั้งโลกฉีดไปประมาณ 13-15 ล้านโดส อเมริกาฉีดไปแล้ว 5 ล้านคน เฉลี่ยวันหนึ่งประมาณ 3 แสนกว่าคน อังกฤษฉีดไปแล้วประมาณ 1.3 ล้านโดส อิสราเอลมีประชากร 8 ล้านคน ฉีดไปแล้ว 1.4 ล้านโดส ฉะนั้นอัตราฉีดสูงสุดจีนฉีดไป 4.5 ล้านโดส ฉะนั้น mRNA ที่เราได้ฟังข่าวว่าฉีดแล้วมีช็อกมีอะไรนี่คิดเป็นตัวเลขแค่ 8 คนในกว่า 8 ล้านคน ก็คือ 1 ในล้าน แต่การแพ้แบบภาวะที่ช็อก คือทุกคนก็ฉีดแอดรีนาลีนได้คืนมาหมด แล้วที่สำคัญก็คือว่าต้องระวังคนที่แพ้อย่างอื่นอยู่แล้ว เช่น แพ้อาหารทะเล แพ้อะไรก็แล้วแต่ที่รุนแรง อาจต้องฉีดด้วยความระมัดระวัง” ศ.นพ.เกียรติ กล่าว
ขณะที่ ผศ.ภญ.ดร.สุธีรา เตชคุณวุฒิ อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ CEO บริษัท ไบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด กล่าวว่า วัคซีนที่ทำจากโปรตีนมีเป็นจำนวนมาก เช่นของ Novavax ใช้ Insect Cell ส่วนของไบยาฯ ใช้พืชเป็นตัวผลิตโปรตีน อย่างไรก็ตาม กระบวนการผลิตวัคซีนจากโปรตีนก่อนเข้าสู่การทดสอบทางคลินิกจะใช้เวลานานกว่าวัคซีนจาก mRNA
อนึ่ง สำหรับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 นอกจากใบยาฯ จะผลิตวัคซีนแล้ว ยังมี Monoclonal Antibody (สารภูมิต้านทานจากโคลนของเซลล์เดียว) ซึ่งสามารถนำไปทำ Treatment (ยา) ได้โดยคาดว่าในเดือน ก.พ. 2564 น่าจะได้เริ่มทดสอบในสัตว์ทดลอง ส่วนวัคซีนโควิด-19 นั้น ใบยาฯ ได้ต้นแบบวัคซีนในเดือน ก.พ. 2563 จากนั้นระหว่างเดือน มี.ค-ธ.ค. 2563 เป็นการทดสอบในสัตว์ทดลอง คือหนู และลิง ตามลำดับ
ซึ่งปัจจุบันกำลังอยู่ในขั้นตอนปรับปรุงสถานที่ผลิตเพื่อให้ผลิตได้มากขึ้น ทำการทดสอบเพิ่มเติม และผลิตเพิ่มสำหรับการทดสอบในมนุษย์ ขั้นตอนทั้งหมดนี้อยู่ระหว่างเดือน ม.ค.-มี.ค. 2564 โดยคาดว่าช่วงกลางปี 2564 จะได้เริ่มทดสอบวัคซีนในมนุษย์ และน่าจะขึ้นทะเบียนวัคซีนได้ภายในปี 2565 ภายใต้ความคาดหวังว่า นี่อาจเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ที่สามารถผลิตวัคซีนได้เองตั้งแต่กระบวนการต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพราะหากเกิดโรคระบาดอื่นๆ ขึ้นอีกในอนาคต แพลตฟอร์มนี้จะสามารถปรับเปลี่ยนไปผลิตยาหรือวัคซีนสำหรับโรคนั้นๆ ได้
ด้าน ศ.นพ.ธีระพงษ์ ตัณฑวิเขียร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ และหัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการใช้วัคซีน เช่น “ค่าการแพร่เชื้อ”หมายถึงคน 1 คนจะแพร่เชื้อต่อไปถึงอีกกี่คน ซึ่งค่านี้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับมาตรการอื่นๆ ที่แต่ละประเทศใช้ลดการระบาดของโรคด้วย (Non Pharmacological Interventions) อาทิ การสวมหน้ากากปิดปาก-จมูก ล้างมือสม่ำเสมอ เว้นระยะห่างทางกายภาพ จำกัดการเดินทางข้ามพรมแดน ฯลฯ
โดยค่าการแพร่เชื้อของโควิด-19 เฉลี่ยอยู่ที่ 2-3 หรือคน 1 คนแพร่เชื้อไปถึงผู้อื่นได้ 2-3 คน ต้องการให้ประชากรเฉลี่ยร้อยละ 60 มีภูมิคุ้มกัน จึงจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity)เพื่อหยุดการระบาดของโรค ดังนั้นบางประเทศที่มีค่าการแพร่เชื้อสูงอาจต้องการให้ประชากรถึงร้อยละ 70 มีภูมิคุ้มกัน หรือบางประเทศที่ค่าการติดเชื้อต่ำอาจต้องการประชากรเพียงร้อยละ 30 ปริมาณการสั่งจองวัคซีนของแต่ละประเทศจึงไม่เท่ากัน ทำให้แม้จะเริ่มทยอยฉีดวัคซีนกันแล้ว แต่การสวมหน้ากากปิดปาก-จมูก อาจยังต้องทำต่อเนื่องไปอีก 3-4 ปี
“จะฉีดวัคซีนให้ใครก่อน” ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ทุกประเทศต่างต้องการวัคซีนโควิด-19 ย่อมไม่มีประเทศใดได้วัคซีนครบถ้วนตามที่ต้องการโดยเร็ว การฉีดวัคซีนในระยะแรกจึงเป็นไปเพื่อลดการระบาด แต่ยังไม่ถึงขั้นหยุดการระบาด แต่เรื่องนี้ต้องคำนึงถึงทั้งการจัดลำดับความสำคัญ (Set Priority) ความยุติธรรม (Equity) การกระจายวัคซีน (Distribution) ตลอดจนจะทำอย่างไรให้สังคมยอมรับ (Public Accept) ดังนั้น ยุทธศาสตร์การสื่อสารที่ดี(Good Communication Strategies) ต้องเกิดขึ้น
ตลอดจนด้าน “การเฝ้าระวังและชดเชย (Safety Surveillance/Compensation)” กรณีมีข่าวที่ยังไม่ชัดว่าเป็นผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนหรือไม่ ต้องมีการบริหารจัดการที่ดีเพื่อไม่ให้กระทบต่อการฉีดวัคซีนในภาพรวมดังที่เคยเกิดมาแล้วกับกรณีข่าวลือว่าการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 กระทบต่อหญิงตั้งครรภ์ จนทำให้แพทย์ไม่กล้าฉีดวัคซีน!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี