11 ม.ค. 2564 น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง โคแฟค ประเทศไทย (COFACT Thailand) และอดีตกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในประเด็นข่าวปลอม (Fake News) ที่ยังพบการแชร์วนซ้ำไป-มาบนโลกออนไลน์ ทั้งที่หลายเรื่องมีการพิสูจน์และยืนยันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วว่าไม่เป็นความจริง ว่า เรื่องนี้มีสาเหตุ 3 ประการ คือ
1.วัฒนธรรมของการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ที่แตกต่างกัน ข่าวปลอมที่มีพบการแชร์วนซ้ำไป-มา มักพบมากในแอพพลิเคชั่นไลน์ (Line) หรือเว็บไซต์เฟซบุ๊ก (Facebook) เนื่องจากสมาชิกในกลุ่มไลน์ หรือเพื่อนบนเฟซบุ๊กมักเป็นคนที่รู้จักกัน เช่น เป็นพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ หัวหน้างาน เพื่อนฝูง ฯลฯ ทำให้อาจมีความเกรงใจไม่กล้าทักท้วง ซึ่งจะต่างจากเว็บไซต์ทวิตเตอร์ (Twitter) ที่ผู้ใช้งานมีความไม่ต้องแสดงตัวตน (Anonymous) เมื่อไม่รู้จักกันก็ทำให้แต่ละคนกล้าแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา หรือแม้แต่แรงๆ ได้มากกว่า รวมถึงการทักท้วงเรื่องข่าวปลอมด้วย
2.ในแต่ละวันจะมีคนที่เพิ่งได้รับข้อมูลหนึ่งเป็นครั้งแรกเสมอ ข้อมูลที่คนคนหนึ่งรู้ว่าเป็นข่าวปลอมแต่ก็ยังมีการแชร์ซ้ำวนไป-มา สำหรับคนอีกคนหนึ่งอาจเป็นข้อมูลใหม่ที่เพิ่งเคยเห็นก็ได้ เพราะข่าวปลอมเหล่านี้ยังวนอยู่ในระบบของแพลตฟอร์มและไม่มีการนำออกหรือการเตือน ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกา เฟซบุ๊กจะแจ้งเตือนการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ไม่ชอบมาพากล เช่น ประเด็นการเมืองในประเทศ หรือสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เป็นข้อมูลซึ่งเผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษ แต่ยังไม่เห็นการดำเนินการอย่างเดียวกับข้อมูลภาษาไทยของเฟซบุ๊กประเทศไทย
นอกจากนี้ การที่ข้อมูลข่าวสารไม่ได้ถูกแชร์ในลักษณะเป็นลิงค์ (Link) ซึ่งเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ใดๆ แต่มาเป็นข้อความโพสต์กับบนหน้า (Feed) ของบัญชีเฟซบุ๊กผู้ใช้งานโดยตรง และโพสต์ในลักษณะคล้ายกับจะเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล ก็เป็นข้อขำกัดที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังไม่สามารถตรวจสอบและแจ้งเตือนได้ ทำให้ยังมีข่าวปลอมหลุดรอดไป เมื่อผู้ที่ไม่รู้ว่าเป็นข่าวปลอมมาเห็นเข้าเป็นครั้งแรกก็อาจแชร์ต่อไปได้
และ 3.กลุ่มที่รู้ว่าไม่จริงแต่ก็ยังเชื่อ กลุ่มนี้พบว่าการเตือนทำได้ยากที่สุดเพราะเลยขั้นจากการรับรู้ว่าอะไรจริง-ไม่จริงไปแล้วแต่ป็นเรื่องของความเชื่อหรือทัศนคติ ที่ต้องใช้การแก้ไขในอีกระดับหนึ่ง เช่น เคยมีกรณีความเชื่อกันว่าปลัดขิกสามารถป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ได้ ซึ่งเมื่อไปสอบถามชาวบ้านก็พบว่าจริงๆ แล้วชาวบ้านรู้และปฏิบัติตามวิธีลดความเสี่ยง เช่น ใส่หน้ากากปิดปาก-จมูก ล้างมือบ่อยๆ แต่ก็ขอมีปลัดขิกติดบ้านไว้เพื่อความอุ่นใจ เป็นต้น
“ต้องเริ่มจากทุกคนต้องไม่เป็น Spreader (ผู้กระจาย) ก่อน ไม่แชร์ถูกแล้วแต่ไม่พอต้องช่วยแก้ไขด้วย เป็น Corrector (ผู้ตรวจสอบ) ด้วย เอาวัฒนธรรมในทวิตเตอร์มาใช้ในไลน์กลุ่มหรือในเฟซบุ๊ก แม้จะเป็นคนที่เรารู้จัก แต่ว่าก็อาจจะต้องละมุนละม่อมเพราะมันก็ทำให้โกรธจริง เสียหน้าจริง ทีนี้มันก็จะทำให้คนท้อใจแล้วก็จะไม่อยากยุ่ง อันนี้เป็นสาเหตุให้มันวนซ้ำ มันต้องมีศิลปะในการแชร์ แล้วก็โคแฟคที่เราทำไลน์ ทำแชทบอท (Chatbot-ระบบอัตโนมัติช่วยตอบคำถาม) ส่วนหนึ่งก็สำหรับคนที่วนอยู่ในไลน์ ไม่อยากออกไปไหนจะได้เช็คได้” น.ส.สุภิญญา กล่าว
น.ส.สุภิญญา กล่าวต่อไปว่า ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก ต้องทำหน้าที่ตรวจจับ (Detect) และแจ้งเตือนให้มากขึ้น เมื่อมีการแชร์ข่าวปลอมที่เคยถูกพิสูจน์แล้วว่าเรื่องนั้นไม่เป็นความจริง ขณะที่ภาครัฐต้องทำงานเชิงรุก อาทิ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) อาจต้องแทรกประเด็นข่าวปลอมที่มักถูกแชร์วนซ้ำๆ เพื่อแจ้งเตือนประชาชน รวมถึงสื่อมวลชนก็ช่วยตรวจสอบข่าวปลอมและแจ้งเตือนได้อีกทางหนึ่ง เพราะคนที่อยู่ในเฟซบุ๊กหรือกลุ่มไลน์ ที่เป็นผู้สูงอายุก็ยังรับชมโทรทัศน์อยู่ด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ‘โคแฟค’เผย5ข่าวลวงสังคมไทยยุคโควิดระบาด เฉลยแล้วแต่ยังแชร์ซ้ำไป-มา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี