“หลานของเพื่อนจบปริญญาโททำงานในโรงพยาบาลเซินเจิ้น ถูกส่งตัวไปที่อู่ฮั่นวิจัยไวรัสสายพันธุ์ใหม่เขาโทรมาหาฉันบอกว่าส่งต่อให้ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงเวลาเป็นหวัดหากมีน้ำมูกหรือไอยังชี้ชัดไม่ได้ว่าเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่เพราะไวรัสสายพันธ์ุใหม่จะไอแห้งๆ ไม่มีน้ำมูกจะสังเกตถึงความแตกต่างได้ง่ายๆ เขายังบอกอีกว่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ไม่ทนต่อความร้อนในอุณหภูมิที่ 26-27 องศา เชื้อโรคนี้ก็จะตายหมด
ฉะนั้นควรดื่มน้ำร้อนให้มากๆ เพื่อเป็นการป้องกันโรคให้รักษาระดับอุณหภูมิในร่างกาย ทานขิงให้มากหน่อยออกกำลังกายมากๆ ก็จะไม่ติดเชื้อนี้ หากมีอาการไข้ขึ้นสูงให้ห่มผ้าห่ม ดื่มน้ำขิง ให้ร่างกายมีระดับอุณหภูมิสูงขึ้น ไม่จำเป็นต้องไปฉีดยา ทานขิงให้มากๆ กระเทียม พริก พริกไทยป่นก็จะช่วยได้ งดอาหารรสจัด อย่าไปสถานที่ที่มีอากาศศเย็น เชื้อโรคนี้หากถูกแดดจัดๆ ก็จะหายไปเอง ขอให้ทุกท่านช่วยกันส่งต่อ ช่วยได้ 1 คนก็รอด 1 คน”
นี่เป็นข้อความที่ถูกส่งต่อบนพื้นที่ออนไลน์ในประเทศไทยช่วงต้นปี 2563 ซึ่งเริ่มมีข่าวการระบาดของโรคลึกลับในเมืองอู่ฮั่นประเทศจีน ก่อนที่ต่อมาทั้งโลกจะได้รู้จักมันในชื่อ “โควิด-19” และกลายเป็นวิกฤติครั้งใหญ่ของมนุษยชาติในรอบศตวรรษโดยในเวลานั้น ผู้รู้ได้ออกมายืนยันว่าข้อความข้างต้นนี้เป็น “ข่าวปลอม (Fake News)” อย่าส่งต่อโดยเด็ดขาด
รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ภาควิชาชีววิทยาคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขียนบทความ “ยังมีการแชร์ข้อความมั่วๆ เกี่ยวกับเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 ออกมาอยู่เรื่อยๆนะครับ อย่างอันนี้เป็นต้น”เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊คแฟนเพจ “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง byอาจารย์เจษฎ์” วันที่ 17 ก.พ. 2563 ระบุว่า “เขาบอกว่า เชื้อพวกนี้ ถ้าอยู่ในอุณหภูมิ 26-27 องศาจะตายไปเอง ? ... อันนี้ก็ไม่จริงนะครับ เพราะร่างกายคนเรา 37 องศาเซลเซียส มันยังอยู่ได้อย่างดีเลย” ดังนั้นการดื่มร้อนจึงไม่ช่วยฆ่าเชื้อโควิด-19 แต่อย่างใด
แต่แล้วผ่านไปเกือบปี เรื่องการดื่มน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อโควิด-19 ยังปรากฏพบว่าส่งต่อกันบนโลกออนไลน์ โดยการแจ้งเตือนของ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2563 อ้างถึงการส่งต่อข้อมูลที่ระบุว่า มีคลิปวีดีโอจากต่างประเทศแนะนำให้ดื่มน้ำอุ่น น้ำร้อน และหายใจสูดไอน้ำร้อน เป็นเวลา 4 วัน ซึ่งในวันที่ 5 เชื้อโควิด-19 ในร่างกายก็จะตาย เรื่องนี้ กรมอนามัย ฝากชี้แจงว่า ปัจจุบันยังไม่มีงานวิชาการใดรองรับว่าวิธีดังกล่าวสามารถช่วยฆ่าเชื้อโควิด-19 ได้จริง จึงสรุปได้ว่าเป็นข่าวปลอมอย่าส่งต่อ
นั่นไม่ใช่ข่าวปลอมเพียงข่าวเดียวที่ถูกส่งต่อวนซ้ำไปซ้ำมา โดยเมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2564 “โคแฟค (CoFact : Collaborative Fact Checking)” ภาคีเครือข่ายภาคประชาชนที่อาสาร่วมตรวจสอบข่าวปลอม เผย “5 ข่าวปลอมเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังถูกส่งต่อวนไปเรื่อยๆ ในสังคมไทย” แม้จะมีการยืนยันแล้วว่าข่าวนั้นไม่เป็นความจริงก็ตาม ประกอบด้วย
1.คลิปเสียงปลอม ความยาว 1.20 นาที อ้างว่าเป็นเสียงของ นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชฯโดยมีเนื้อหา ขอความร่วมมือให้ประชาชนคนไทยทุกท่านล็อกดาวน์ 2.ดื่มน้ำมะนาวฆ่าเชื้อโควิด-19 ได้ 3.เลือดเป็นด่างมีโอกาสติดไวรัสโควิด-19 ได้น้อยลง 4.พัสดุไปรษณีย์เป็นแหล่งแพร่เชื้อโควิด-19 และ 5.ยืนตากแดดฆ่าเชื้อโควิด-19 ในร่างกายได้ โดยทั้ง 5 ข่าวนี้ ปรากฏเป็นข่าวตั้งแต่ช่วงต้นหรือกลางปี 2563 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ยืนยันไปแล้วว่าไม่เป็นความจริง แต่พอถึงปลายปีและขึ้นปีใหม่ 2564 ก็ยังพบการส่งต่อวนเวียนกลับมาอีกครั้ง
สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง โคแฟค ประเทศไทย(COFACT Thailand) และอดีตกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) อธิบายถึงสาเหตุที่ข่าวปลอมซึ่งเคยได้รับการตรวจสอบแล้วว่าไม่เป็นความจริง แต่ยังถูกส่งต่อวนซ้ำบนโลกออนไลน์ ไว้ 3 ประการคือ 1.วัฒนธรรมของการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ที่แตกต่างกัน ข่าวปลอมที่มีพบการแชร์วนซ้ำไป-มา มักพบมากในแอพพลิเคชั่นไลน์ (Line) หรือเว็บไซต์เฟซบุ๊ค (Facebook) เนื่องจากสมาชิกในกลุ่มไลน์ หรือเพื่อนบนเฟซบุ๊คมักเป็นคนที่รู้จักกัน
เช่น เป็นพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ หัวหน้างาน เพื่อนฝูง ฯลฯ ทำให้อาจมีความเกรงใจไม่กล้าทักท้วง ซึ่งจะต่างจากเว็บไซต์ทวิตเตอร์ (Twitter) ที่ผู้ใช้งานมีความไม่ต้องแสดงตัวตน (Anonymous) เมื่อไม่รู้จักกันก็ทำให้แต่ละคนกล้าแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาได้มากกว่า รวมถึงการทักท้วงเรื่องข่าวปลอมด้วย 2.ในแต่ละวันจะมีคนที่เพิ่งได้รับข้อมูลหนึ่งเป็นครั้งแรกเสมอ ข้อมูลที่คนคนหนึ่งรู้ว่าเป็นข่าวปลอมแต่ก็ยังมีการแชร์ซ้ำวนไป-มา สำหรับคนอีกคนหนึ่งอาจเป็นข้อมูลใหม่ที่เพิ่งเคยเห็นก็ได้
เพราะข่าวปลอมเหล่านี้ยังวนอยู่ในระบบของแพลตฟอร์มและไม่มีการนำออกหรือการเตือน ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกา เฟซบุ๊คจะแจ้งเตือนการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ไม่ชอบมาพากล เช่น ประเด็นการเมืองในประเทศ หรือสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เป็นข้อมูลซึ่งเผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษ แต่ยังไม่เห็นการดำเนินการอย่างเดียวกับข้อมูลภาษาไทยของเฟซบุ๊คประเทศไทย
นอกจากนี้ การที่ข้อมูลข่าวสารไม่ได้ถูกแชร์ในลักษณะเป็นลิงค์ (Link) ซึ่งเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ใดๆ แต่มาเป็นข้อความโพสต์กลับบนหน้า (Feed) ของบัญชีเฟซบุ๊คผู้ใช้งานโดยตรง และโพสต์ในลักษณะคล้ายกับจะเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล ก็เป็นข้อจำกัดที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังไม่สามารถตรวจสอบและแจ้งเตือนได้ ทำให้ยังมีข่าวปลอมหลุดรอดไป เมื่อผู้ที่ไม่รู้ว่าเป็นข่าวปลอมมาเห็นเข้าเป็นครั้งแรกก็อาจแชร์ต่อไปได้
และ 3.กลุ่มที่รู้ว่าไม่จริงแต่ก็ยังเชื่อ กลุ่มนี้พบว่าการเตือนทำได้ยากที่สุดเพราะเลยขั้นจากการรับรู้ว่าอะไรจริง-ไม่จริงไปแล้วแต่ป็นเรื่องของความเชื่อหรือทัศนคติ ที่ต้องใช้การแก้ไขในอีกระดับหนึ่ง เช่น เคยมีกรณีเชื่อกันว่าปลัดขิกสามารถป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ได้ ซึ่งเมื่อไปสอบถามชาวบ้านก็พบว่าจริงๆ แล้วชาวบ้านรู้และปฏิบัติตามวิธีลดความเสี่ยง เช่น ใส่หน้ากากปิดปาก-จมูก ล้างมือบ่อยๆ แต่ก็ขอมีปลัดขิกติดบ้านไว้เพื่อความอุ่นใจ เป็นต้น
“ต้องเริ่มจากทุกคนต้องไม่เป็น Spreader (ผู้กระจาย) ก่อน ไม่แชร์ถูกแล้วแต่ไม่พอต้องช่วยแก้ไขด้วย เป็น Corrector (ผู้ตรวจสอบ) ด้วย เอาวัฒนธรรมในทวิตเตอร์มาใช้ในไลน์กลุ่มหรือในเฟซบุ๊ค แม้จะเป็นคนที่เรารู้จัก แต่ว่าก็อาจจะต้องละมุนละม่อมเพราะมันก็ทำให้โกรธจริง เสียหน้าจริง ทีนี้มันก็จะทำให้คนท้อใจแล้วก็จะไม่อยากยุ่ง อันนี้เป็นสาเหตุให้มันวนซ้ำมันต้องมีศิลปะในการแชร์ แล้วก็โคแฟคที่เราทำไลน์ ทำแชทบอท(Chatbot-ระบบอัตโนมัติช่วยตอบคำถาม) ส่วนหนึ่งก็สำหรับคนที่วนอยู่ในไลน์ ไม่อยากออกไปไหนจะได้เช็คได้” สุภิญญา กล่าว
สุภิญญา กล่าวต่อไปว่า ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ค ต้องทำหน้าที่ตรวจจับ (Detect) และแจ้งเตือนให้มากขึ้น เมื่อมีการแชร์ข่าวปลอมที่เคยถูกพิสูจน์แล้วว่าเรื่องนั้นไม่เป็นความจริง ขณะที่ภาครัฐต้องทำงานเชิงรุกอาทิ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) อาจต้องแทรกประเด็นข่าวปลอมที่มักถูกแชร์วนซ้ำๆ เพื่อแจ้งเตือนประชาชน รวมถึงสื่อมวลชนก็ช่วยตรวจสอบข่าวปลอมและแจ้งเตือนได้อีกทางหนึ่ง เพราะคนที่อยู่ในเฟซบุ๊คหรือกลุ่มไลน์ ที่เป็นผู้สูงอายุก็ยังรับชมโทรทัศน์อยู่ด้วย
ด้าน รศ.ดร.อัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว ผู้อำนวยการหลักสูตรปริญญาเอก คณะนิเทศศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) อธิบายเพิ่มเติมในอีก 2 สาเหตุที่ทำให้ข่าวปลอมถูกส่งต่อวนไป-มาไม่จบสิ้นคือ 1.อารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ที่ตอบสนองกับสิ่งแวดล้อม ณ ขณะนั้น เช่น ความกลัว วิตกกังวล โศกเศร้า ฯลฯ ซึ่งในเวลานั้นความสามารถด้านการใช้เหตุผลอาจลดลงไป กับ 2.ข้อมูลที่ปรากฏบนโลกออนไลน์ไม่ถูกกำกับโดยงื่อนไขของเวลา เช่น มีผู้โพสต์ภาพถนนเส้นหนึ่งพร้อมบรรยายข้อความ คำถามคือใครจะรู้บ้างว่าภาพถนนเส้นนั้นถ่ายไว้เมื่อใด
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันอยู่ในโลกออนไลน์ ด้วยเทคโนโลยี ความหมายของมันเลื่อนออกไปจากกาลเทศะที่มนุษย์เราเข้าใจหมายความว่าเวลามันอาจจะถอยหลังเลื่อนไป-มาโดยที่เราไม่รู้เลยหรือมันอาจขยับสถานที่ไป ยกตัวอย่างเช่นเราเห็นรูปคนกำลังตีกันหรือภาพของม็อบ อะไรพวกนี้ แต่พอเป็นภาพไกลๆ เราอาจจะไม่รู้เลยว่ามันเกิดขึ้นที่ประเทศไหนหรือจังหวัดไหน คือมันอาจเป็นคนละที่ไปเลยกับที่มันถูกเอามาพาดหัวก็ได้
ตรงนี้ทำให้พอเราเลื่อนจอมือถือไปเรื่อยๆ แล้วมีคนส่งนั่นนี่เข้ามา เผลอๆ เกินครึ่งหรืออาจจะทั้งหมดเป็นข้อมูลที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบคัดกรองมาเลย แล้วมันก็ไปตอบสนองต่อทั้งคนส่งและคนรับ คนส่งที่มี Agenda (วาระ) มีวาระซ่อนเร้นเชิงข้อมูล ก็จะทำหน้าที่เป็นเหมือนกับผู้กระพือข่าว หรือเป็น IO (ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร) หรืออะไรก็แล้วแต่ ส่วนคนรับก็ด้วยสภาวะทางอารมณ์ ตนเองกำลังกลัว กำลังวิตกกังวล หรือกำลังโมโหเรื่องนี้อยู่ อะไรต่างๆ พวกนี้มันก็พร้อมจะตอบสนองทันทีเลย” อาจารย์อัศวิน อธิบาย
อาจารย์อัศวิน ยังกล่าวถึงบทบาทของ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส)ในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วยว่า ยังตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ไม่ฉับไวเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับปริมาณข่าวสารที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ ภาพลักษณ์ของศูนย์ฯ ก็ยังไม่ทำให้สังคมรู้สึกเชื่อมั่นมากนัก เนื่องจากหากย้อนไปในช่วงแรกๆ ที่มีการจัดตั้งศูนย์ฯ ขึ้นมานั้นภารกิจของศูนย์ฯ ถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง เช่น การชุมนุมของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล การปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่จึงเป็นทางออก
“เพิ่มกลไกให้มันมีความเร็ว มีความรอบด้านเพิ่มขึ้น และสุดท้ายคือเพิ่มความเชื่อมั่น การเพิ่มความเชื่อมั่นอาจจะเป็นการร่วมมือหรือดึงการมีส่วนร่วม หรือว่าหาภาคีอะไรที่มันทำให้ภาพของสังคมโดยส่วนใหญ่มองว่าไม่มีอะไรเจือปน ไม่ให้มันไปเอียงไปติดกับจุดใดจุดหนึ่งกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งของรัฐบาล อะไรทำนองนี้ ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่ามันเป็นจุดหลักสำคัญ แล้วหลังจากนั้นเรามาทำให้ตัวผลงานมันออกมาในแง่ที่แบบ..โอ้โห!เร็วมากเลย แล้วข้อมูลกระจายทั่ว อย่างนี้สังคมจะตอบรับดีมาก”อาจารย์อัศวิน กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี