กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เป็นหน่วยงานในสังกัด กระทรวงยุติธรรม ก่อตั้งขึ้นในวันที่ 3 ต.ค. 2545 ตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 ที่ใช้อยู่ในขณะนั้น ต้องการให้มีการส่งเสริม คุ้มครองและสร้างหลักประกันให้กับประชาชน เนื่องจากประชาชนมักประสบปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรม เช่น ไม่รู้กฎหมาย เข้าไม่ถึงกระบวนการยุติธรรมที่มีคุณภาพด้วยเพราะเป็นคนยากจนมีรายได้น้อย เป็นผู้เสียหายแต่ไม่ได้รับการเยียวยา เป็นต้น
วันเวลาผ่านไปกว่า 18 ปี กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ทำงานเชิงรุกมากขึ้นและไม่ได้ทำเพียงลำพัง ดังที่ เรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เปิดเผยว่า กรมได้ร่วมกับองค์กรตามรัฐธรรมนูญอย่าง สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกแบบและจัดทำ “คู่มือโครงสร้างวิชาการจัดการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนศึกษา” สำหรับครู-อาจารย์ ที่ดูแลเด็กและเยาวชนในทุกระดับการศึกษา หวังสร้างความตระหนักตั้งแต่เยาว์วัย รู้สิทธิและหน้าที่ นำไปสู่การไม่ละเมิดซึ่งกันและกัน
“วันนี้กลุ่มที่มีปัญหาด้านสิทธิและเสรีภาพที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด ก็คือโรงเรียน วันนี้เราต้องยอมรับว่าเลี้ยงลูกกันมาให้เด็กใช้มือถือเยอะ จึงเกิดการเรียนรู้ผ่านมือถือ ซึ่งก็จะเป็นปัญหาขึ้นมาว่าเรียนและรับรู้ผ่านสื่อโซเชียล คนที่นำไปในทางที่ถูกก็ถูก และถ้าคนนำไปในทางที่ผิดก็ผิด ตลอดจนเกมส์ต่างๆ เพราะฉะนั้นมีความก้าวร้าว ความอดทนน้อย ปัญหายกพวกตีกัน
ขณะสภาพในโรงเรียนมีเด็กนักเรียนบางรายที่มีพฤติกรรมอาจจะทำให้ครูที่ยังเป็นปุถุชนเกิดอารมณ์ซึ่งจะไปโทษครูฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ น่าจะต้องดูเด็กด้วย ว่าไม่ธรรมดา ดื้อตาใส ไม่สนใจคนอื่นเอาแต่ใจตัวเองหรือไม่ ส่วนเด็กโตก็มีปัญหาเรื่องของฉัน สิทธิของฉัน นอกจากนี้ อาจจะมีเรื่องเคารพครู อาจารย์ รุ่นพี่รุ่นน้อง ปัญหาความรุนแรงยกพวกตีกันระหว่างสถาบัน รวมทั้งปัญหาเรื่องเพศ เป็นต้น ขณะที่ในส่วนสังคมครอบครัวนั้นผู้ปกครองมีปัญหาเรื่องเวลาคือไม่มีเวลาที่จะอบรม กับเวลาที่ฉันอยากตามใจลูก” เรืองศักดิ์ กล่าวถึงปัญหาเด็กและเยาวชนในปัจจุบัน
สำหรับการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนศึกษา มีเป้าหมายของแต่ละช่วงชั้นดังนี้ 1.ปฐมวัย มีความสุข สนุกสนาน ทำตามกติกา 2.ประถมศึกษาตอนต้น รักตนเองรักครอบครัว รักโรงเรียน รักชุมชน 3.ประถมศึกษาตอนปลายรู้หน้าที่ รู้รับผิดชอบ รู้สิทธิตน 4.มัธยมศึกษาตอนต้น มีวินัย ใส่ใจคบเพื่อน เตือนภัยสังคม 5.มัธยมศึกษาตอนปลาย ยอมรับความแตกต่าง ระวังภัยอบายมุข สร้างสุขคุมอารมณ์ เชื่อมโยงวิเคราะห์ 6.อาชีวศึกษาพอเพียง จิตอาสา สามัคคี มีวินัย ใส่ใจสิทธิมนุษยชน และ 7.อุดมศึกษา รู้ เข้าใจ เคารพสิทธิ ผลิตสื่อรณรงค์ ถอดโครงการ แก้ปัญหา ขยายวิชาสู่ชุมชน
เรืองศักดิ์ ยกตัวอย่าง เช่น การอบรมในระดับอาชีวศึกษาจะให้นักเรียนรับรู้และตระหนักว่าการที่นักเรียนตีกันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เนื่องจากเป็นการละเมิดสิทธิในชีวิตและร่างกาย อีกทั้งยังผิดกฎหมายด้วย เพราะทุกคนมีสิทธิในชีวิตและร่างกายเราก็มีสิทธิและเขาก็มีสิทธิเราจึงไม่อาจไปทำร้ายร่างกายเขาได้ เช่นเดียวกับผู้ชายไม่มีสิทธิไปล่วงละเมิดร่างกายของผู้หญิงและผู้หญิงก็มีสิทธิปกป้องเนื้อตัวร่างกาย เป็นต้น หรือในระดับอุดมศึกษา จะมีเนื้อหาเพิ่มเติมพัฒนาการและความรู้พื้นฐานด้านสิทธิมนุษยชน
กฎหมายพันธกรณีมาตรฐานและกลไกระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน กฎหมายภายในประเทศและกลไกการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน โดยผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับ ความหมายหน้าที่ สิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน สามารถนำความรู้เรื่องหน้าที่ของตนเอง การเคารพสิทธิของตนเองและไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่นไปปรับใช้เพื่อให้เกิดการใช้วิถีชีวิตสิทธิมนุษยชนและเกิดกลไกการส่งเสริมความคุ้มครองสิทธิมนุษยชนกับตนเองครอบครัวชุมชนและสังคม
สามารถแยกแยะความแตกต่างของแต่ละสิทธิสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์แต่ละสิทธิได้ ทั้งสิทธิพลเมือง สิทธิทางการเมือง สิทธิทางเศรษฐกิจ สิทธิทางสังคม สิทธิทางวัฒนธรรม ซึ่งจะมีความรู้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมสาธารณะ 2558 หลักการปฏิบัติชุมนุมของนักเรียน ในสถานศึกษา พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493 ตลอดจนเนื้อหาการศึกษาแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายพิเศษด้านความมั่นคง หลักความโปร่งใสหลักกฎหมายหลักความจำเป็นหลักความได้สัดส่วนหลักความรับผิดชอบ เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีการขับเคลื่อนโครงการในระดับจังหวัด โดยประสานกับกระทรวงมหาดไทย ลงไปถึงระดับตำบล ที่มีองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เป็นผู้ดูแล พร้อมด้วยศูนย์ยุติธรรมจังหวัด ที่มีอยู่ในทุกตำบลกว่า 7,000 แห่งทั่วประเทศ และระดับหมู่บ้านผ่านกลไก “บวร” บ้าน (ครอบครัวและชุมชน) วัด (ศาสนสถาน) และโรงเรียน (สถาบันการศึกษา) ทั้งนี้จะมีการถอดแบบประเมินผลและนำร่องการอบรมใน 10 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ พะเยา ขอนแก่น ชัยภูมิ พิษณุโลก สุโขทัย อ่างทอง อยุธยา สงขลา ปัตตานี
หลังจากนั้น กสม. จะจัดทำเป็นคู่มือการอบรมและปฏิบัติ เพื่อส่งต่อให้กับจังหวัดที่เหลือ ได้เห็นแนวทางการขับเคลื่อนทำงานภายในจังหวัด เพื่อแผนการดำเนินงาน
การขับเคลื่อนงานสิทธิมนุษยชนของประเทศไทยสัมฤทธิ์ผลในการปลูกฝัง การเคารพสิทธิ์อย่างถูกต้องให้กับเด็กในอนาคต คนไทยรุ่นนี้ที่จะออกมา ให้เป็นคนรู้หน้าที่รู้สิทธิ เคารพสิทธิ ไม่ละเมิดสิทธิ
“ภรรยาเคารพสิทธิสามี สามีเคารพสิทธิของภรรยา ข้าราชการเคารพสิทธิของประชาชน ประชาชนเคารพสิทธิข้าราชการ นายจ้างเคารพสิทธิลูกจ้าง ลูกจ้างเคารพสิทธินายจ้าง พ่อค้าเคารพสิทธิผู้บริโภค นอกจากนี้ เมื่อเรารู้ว่าเรามีสิทธิอะไรแล้วเราต้องรู้จักใช้และแนะนำผู้อื่นให้รู้สิทธิของตนเอง ซึ่งจะทำให้สังคมของเรา ประเทศของเราหรือแผ่นดินที่เรารักนี้ก็จะเกิดความเป็นธรรมและสันติสุขอย่างแท้จริง” อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวในท้ายที่สุด
สิริพร พานทองถาวร
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี