เป็นสถานการณ์ที่ต้องจับตามองกันต่อไปกับการรัฐประหารในเมียนมา เมื่อฝ่ายกองทัพที่เข้าควบคุมอำนาจในเช้าวันที่ 1 ก.พ. 2564 ประกาศในเวลาต่อมาว่าจะใช้เวลาเพียง 1 ปีแล้วจะให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการจัดเสวนา (ออนไลน์) หัวข้อ “รัฐประหารพม่า 2021: เพื่อนบ้านด้านตะวันตก
เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง” โดยศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา ร่วมกับ วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ และคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เล่าประวัติศาสตร์การก่อเกิดของกองทัพเมียนมา ซึ่งต้องย้อนไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2(ปี 2484-2488) กองทัพญี่ปุ่นเคลื่อนพลเข้าสู่แผ่นดินเมียนมาที่ในยุคนั้นยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ทำให้เกิดกระแสตื่นตัวของชาวเมียนมาผู้รักชาติ โดยเมียนมาได้รับเอกราชในปี 2491 ดังนั้นจึงถือได้ว่ากองทัพเมียนมาเกิดขึ้นมาก่อนที่จะมีประเทศเมียนมาเสียอีก
ในระยะแรกๆ เมียนมาปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา แต่มีปัญหาสงครามกลางเมืองและความขัดแย้งของนักการเมือง เปิดช่องให้กองทัพเข้ามาเป็นรัฐบาลรักษาการช่วงปี 2501-2503 ก่อนจะมีการจัดเลือกตั้งแต่รัฐบาลพลเรือนก็อยู่ได้ไม่นานจากปัญหากลุ่มแบ่งแยกดินแดนกองทัพจึงก่อรัฐประหารในปี 2505 และคราวนี้เป็นรัฐบาลทหารยาวนานถึง 26 ปี จากนั้นในปี 2531 ประชาชนชาวเมียนมาไม่พอใจการปกครองภายใต้รัฐบาลทหาร มีการชุมนุมประท้วงใหญ่เรียกร้องประชาธิปไตย แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือกองทัพปกครองประเทศยาวนานอีก 20 ปี
กระทั่งในปี 2553 เมียนมามีการเลือกตั้งใหญ่อีกครั้ง ท่ามกลางการจับตามองของประชาคมโลกเพราะประเทศแห่งนี้ปกครองด้วยรัฐบาลทหารมาเกือบครึ่งศตวรรษ แต่จุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่การเลือกตั้งในปี 2558 ที่พรรค USDP ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่กองทัพให้การสนับสนุน พ่ายแพ้ให้กับพรรค NLD ของ ออง ซาน ซู จี และพรรค USDP ก็แพ้เลือกตั้งพรรค NLD อีกครั้งเมื่อปลายปี 2563 แต่ครั้งนี้การที่พรรค NLD ชนะอย่างถล่มทลาย ทำให้กองทัพและพรรค USDP ตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการจัดการเลือกตั้ง
ผศ.ดร.ดุลยภาค กล่าวต่อไปว่า “ตลอด 10 ปี (2553-2563) ที่เมียนมาใช้ระบอบผสมระหว่างทหารกับพลเรือน ทั้ง 2 ฝ่ายก็มีความขัดแย้งกันบ้าง แต่เมื่อฝ่ายพลเรือนเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ จนกองทัพรู้สึกอึดอัดว่าไม่สามารถควบคุมการเมืองได้ และอาจนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ลดอำนาจกองทัพ จึงต้องตัดวงจรเสียด้วยการรัฐประหาร” และในเวลา 1 ปีก่อนจะมีการเลือกตั้งตามที่กองทัพให้สัญญาไว้ เชื่อว่าคงมีการทำให้พรรค NLD และฝ่ายประชาธิปไตยอ่อนกำลังลง เช่น
ตั้งข้อหาบุคคลที่มีบทบาทสำคัญ เพื่อให้กองทัพยังคงรักษาบทบาททางการเมืองต่อไปได้
อนึ่ง ก่อนหน้านี้กองทัพคาดหวังว่า หากพรรค USDP ได้ที่นั่งในรัฐสภาพอย่างน้อยร้อยละ 26 แล้วบวกกับสมาชิกรัฐสภาอีกร้อยละ 25 ที่เป็นโควตาของกองทัพ
ก็จะเพียงพอสำหรับการส่ง พล.อ.มิน อ่อง หล่ายผู้บัญชาการทหารสูงสุด ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่แล้วผลการเลือกตั้งในปี 2563 กลับไม่เป็นไปดังที่หวังไว้เพราะพรรค USDP ได้ที่นั่งในรัฐสภาน้อยเกินไป อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมา กองทัพยังวิพากษ์วิจารณ์ ออง ซานซู จี และรัฐบาลพรรค NLD ว่ารวบอำนาจเข้าสู่ฝ่ายตน ไม่ใช่การเมืองแบบพหุพรรค หรือมองว่าพรรค NLD เป็นเผด็จการรัฐสภา
“ผมให้ข้อสังเกตทิ้งท้ายไว้ การยึดอำนาจครั้งนี้กองทัพดึงเข้ากรอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 417 คือให้ประธานาธิบดีประกาศภาวะฉุกเฉิน คือท่าน มิน ส่วย แล้วสถาบันนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการตามปกติจะเปลี่ยนรูปมาสู่สถาบันกองทัพ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ มิน อ่อง หล่าย จะ Design (ออกแบบ) เช่น ไส้ในเป็นชนชั้นนำทหาร เป็นทหารเก่า หรือเป็นอดีตรัฐมนตรีสมัยพรรค USDP ดึงเข้ามาเป็นแขน-ขาในการบริหารประเทศ แล้วก็ตัดมุขมนตรี ตัดบุคคลต่างๆ ที่เคยเป็นรัฐบาลในชุด NLD
ตำแหน่งรองรัฐมนตรีสำคัญก็โละทิ้งหมด ให้เป็นรัฐบาลที่มีขนาดกระชับว่องไวขึ้นในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่รัฐธรรมนูญก็บอกว่าถ้าเข้าตามมาตรานี้ ระยะเวลาประกาศสภาวะฉุกเฉินมี 1 ปี ก็ตามนั้นเลยที่เขาประกาศออกมา แต่ยังมีเงื่อนไขอีกว่าสามารถขยายเวลาต่อได้เป็น 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 6 เดือน แต่ถ้าจะเอามากกว่านั้นก็ต้องไปชงกันที่สภากลาโหมและความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งมันก็เป็นคนที่กองทัพมีอิทธิพลมากกว่าพลเรือน และตอนนี้ มิน อ่อง หล่าย ก็คุมสภาแห่งนี้ไปเรียบร้อยแล้ว” ผศ.ดร.ดุลยภาค กล่าว
ขณะที่ ผศ.อัครพงษ์ ค่ำคูณ คณบดีวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ กล่าวถึงคำว่า “รัฐเสนานุภาพ (Praetorian State)” ซึ่งเป็นคำเก่าแก่มีประวัติยาวนานตั้งแต่อาณาจักรโรมัน ที่กองทัพถือว่าตนเองมีบทบาทในการปกป้ององค์จักรพรรดิ หรือในยุคต่อๆ มาก็หมายถึงกองทัพมีความเชื่อว่าตนเองมีบทบาทหน้าที่ปกป้องรัฐ และความเชื่อนี้ทำให้ทหารไม่สามารถตัดตนเองออกจากความคิดที่ว่าตนเองเป็นเจ้าของแผ่นดินยิ่งกว่าผู้อื่นได้
แต่ที่มากไปกว่านั้นคือ “กองทัพยังมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอยู่ในมือจำนวนมาก” เช่น ในกรณีของเมียนมา คือบริษัทใหญ่ 2 แห่งอย่าง MEC และ UMEH ที่ทำกิจการครอบคลุมแทบทุกอย่างในประเทศ แต่ในขณะที่สังคมที่มีความเป็นประชาธิปไตย ตลาดจะเสรีส่งผลให้มีการแข่งขันเชิงคุณภาพ “การรัฐประหารแม้จะทำธุรกิจในภาพรวมซบเซา แต่ธุรกิจของบางกลุ่มจะเฟื่องฟูมาก” ทั้งนี้ สิ่งที่คนไม่ค่อยพูดถึงกันคือ “ทหารมีบทบาททางธุรกิจ” หากไม่ได้ทำเองก็เข้าไปนั่งเป็นกรรมการบริหาร ซึ่งพบได้ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)
ผศ.อัครพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ถึงกระนั้น “ความเป็นรัฐเสนานุภาพจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากกองทัพถูกตรวจสอบได้” เช่น ในเมียนมา MEC และ UMEH ไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลภาษีหรือผลประโยชน์ใดๆ จนมีสภาพเหมือน “รัฐซ้อนรัฐ (Deep State)” ที่กองทัพมีสภาพเหมือนเป็นรัฐรัฐหนึ่งมีอำนาจปกครองตนเอง (Authority) แม้จะอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน และหากจะนับอายุของภูมิภาคอาเซียน นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ประเทศในภูมิภาคนี้มีทหารไปเกี่ยวข้องแทบทุกวงการ ทั้งการเมือง ธุรกิจ แบบเรียนประวัติศาสตร์ แม้กระทั่งกิจกรรมวันเด็ก
“มิน อ่อง หล่าย เข้ามาแรกๆ ก็เงียบๆ นะ เข้ามาแทนพลเอกอาวุโส ตาน ฉ่วย เราก็นึกว่าเขาไม่มี Ambitious (ความทะเยอทะยาน) แต่สุดท้ายระบบที่เรียกว่า Praetorian มันทำให้เครือข่ายที่มีอยู่ ซึ่ง Praetorian ไม่ใช่ตัวทหารอย่างเดียว เป็นกลุ่มตระกูลนักธุรกิจใหญ่ด้วย ถ้าจะใช้ทฤษฎี 3 เส้าทางการเมือง คือ Military (กองทัพ) Member of Parliament (นักการเมือง) และ Mass (ประชาชน แต่หมายถึงภาคธุรกิจเอกชน) 3M นี้ ถ้า Military จับมือกับใครเมื่อไหร่ ประเทศหมดทันที หมายความว่ากระบวนการประชาธิปไตยมันจะไปต่อไม่ได้” ผศ.อัครพงษ์ กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี