ผ่านมากว่าครึ่งเดือนแล้วกับสถานการณ์ตึงเครียดใน เมียนมา หลังทหารทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 แล้วต้องเผชิญการต่อต้านอย่างหนักหน่วงของประชาชนที่ออกมาชุมนุมประท้วงต่อเนื่อง ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าสุดท้ายแล้วจะซ้ำรอยเดิมที่เมื่อมีการเลือกตั้งไม่เท่าไรชาวเมียนมาก็ต้องกลับไปอยู่ใต้การปกครองของรัฐบาลทหารอย่างยาวนานดังเช่นในอดีตหรือไม่ อย่างไรก็ตาม “มุมมองของทหารเมียนมาต่อการเมือง” ตลอดห้วงประวัติศาสตร์สมัยใหม่ตั้งแต่ได้รับเอกราชจนถึงปัจจุบัน ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
ที่งานเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “เราจะทำตามสัญญา : ถอดบทเรียนรัฐประหารประเทศในภูมิภาคอาเซียน” จัดโดยศิลป์เสวนา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อเร็วๆ นี้ ผศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชชอาจารย์โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายความหมายของ “ลัทธิเสนาธิปัตย์นิยม (Praetorianism)”ว่าหมายถึงแนวคิดที่กองทัพเป็นใหญ่ในการปกครองประเทศ นำไปสู่บทบาทของกองทัพในการแทรกแซงทางการเมือง โดยมีการจัดความเข้มข้นของการแทรกแซงไว้ 3 ระดับ คือ
1.เจรจาไกล่เกลี่ย กองทัพยอมรับความเหนือกว่าของรัฐบาลพลเรือนในระดับหนึ่ง โดยจะมีบทบาทถ่วงดุลกับรัฐบาลพลเรือน 2.ผู้พิทักษ์ กองทัพทำรัฐประหารแต่ไม่ต้องการอยู่ในอำนาจยาวนาน ซึ่งอาจตั้งบุคคลอื่นที่เป็นเครือข่ายเดียวกันมากุมอำนาจแทน หรือแม้กองทัพจะปกครองเองแต่ก็ใช้เวลาสั้นๆ และ 3.ผู้ปกครองกองทัพทำรัฐประหาร ขุดรากถอนโคนกลุ่มอำนาจเก่าแล้วเข้าปกครองแทน มีการวางระบบใหม่และอยู่ในอำนาจยาวนาน แต่กองทัพประเทศใดจะมีบทบาทในระดับไหน ก็อยู่ที่บริบททางประวัติศาสตร์ของประเทศนั้น
สำหรับประเทศเมียนมา (หรือพม่า) กองทัพนั้นถือกำเนิดขึ้นก่อนการก่อตั้งรัฐ โดยย้อนไปตั้งแต่ยุคที่แผ่นดินพม่ายังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ซึ่งในปี2484-2488 ที่กำลังเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพสมัยใหม่ของชาวพม่าก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นโดยได้รับอิทธิพลด้านระเบียบวินัยและความเข้มแข็งดุดันจากกองทัพญี่ปุ่น บวกกับได้รับอิทธิพลจากแนวคิดชาตินิยมของขบวนการที่เกิดขึ้นในยุคอาณานิคม อาทิ “กลุ่ม30 สหาย” ที่มี นายพลออง ซาน เป็นแกนนำ กระทั่งในวันที่ 4 ม.ค. 2491 พม่าจึงได้รับเอกราชจากอังกฤษ มีประเทศของตนเองอย่างเป็นทางการ
ในยุคแรกของเมียนมา มีการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา อูนุ เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกแต่เมียนมานั้นโชคไม่ดีนักเพราะต้องเผชิญกับการสู้รบกับกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ บทบาทของกองทัพจึงเพิ่มขึ้น เมื่อประกอบกับความแตกแยกในหมู่นักการเมือง ทำให้ในปี 2501 นายพลเนวิน นำกองทัพเข้าแทรกแซงเพื่อตั้งรัฐบาลรักษาการ ซึ่งถูกเรียกว่าเป็นรัฐประหารครั้งแรกในเมียนมา อย่างไรก็ตามทหารมีบทบาทเพียงไม่ถึง 2 ปี ก่อนจะจัดให้มีการเลือกตั้งตามเดิม และ อูนุ กลับมาเป็นผู้นำประเทศอีกครั้ง แต่ก็ต้องเผชิญกับวิกฤติอีกครั้ง
“Federalism หรือวิกฤติสหพันธรัฐ ซึ่งผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์คุยเจรจาของเรื่องสหพันธรัฐ แต่กองทัพมองว่ามันก้ำกึ่งกับการแบ่งแยกดินแดน มันจะเป็นอันตรายต่อการดำรงอยู่ของสหภาพ จึงมีการก่อรัฐประหาร มีนาคม 1962 (2505) เหตุผลก็มีนักวิเคราะห์มองหลายประการ แต่เหตุผลหนึ่งที่กองทัพแถลงคือป้องกันการแตกสลายของสหภาพ เพราะว่าหน่วยการเมืองขนาดเล็กอย่างเช่นรัฐคะยา ก็ยังมีแนวคิดแยกรัฐออกจากสหภาพ ยังไม่นับกลุ่มรัฐฉาน กลุ่มอื่นๆ อีก ก็ทำรัฐประหารเพื่อพยุงรัฐเอาไว้” อาจารย์ดุลยภาค ระบุ
แต่การรัฐประหารในปี 2505 นั้น นายพลเนวินซึ่งกลับมาก่อการเป็นครั้งที่ 2 คราวนี้ได้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ด้วยการใช้อำนาจกองทัพปกครองเมียนมายาวนานถึง 26 ปี โดยมีกลไก 3 ด้านคือ 1.พรรค BSPP ที่มีอุดมการณ์แบบสังคมนิยม 2.กองทัพ และ 3.ตัวของนายพลเนวินและบุคคลอื่นๆ ในเครือข่าย อย่างไรก็ตาม เมียนมาในยุคนายพลเนวิน ก็ไม่ได้ใช้แนวคิดสังคมนิยมอย่างเต็มที่ แต่ผสมผสานวัฒนธรรมแบบเมียนมาเข้าไปด้วย เช่น ศาสนาพุทธ การปฏิวัติให้เป็นรัฐแบบสังคมนิยมจึงไปไม่สุดทาง
อาจารย์ดุลยภาค มองการทำรัฐประหารหนที่ 2 ของนายพลเนวินและอยู่ในอำนาจยาวนาน ว่า ทำให้กองทัพเมียนมากลายเป็นสถาบันที่แข็งแกร่ง กระทั่งเกิดการชุมนุมประท้วงจากประชาชนในปี 2531 เนื่องด้วยปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ การปกครองภายใต้ระบอบเนวินจึงสิ้นสุดลง มีรัฐบาลรักษาการเพื่อเตรียมการเลือกตั้งในปี 2533 และการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรค NLD ภายใต้การนำของ ออง ซาน ซู จี ได้รับชัยชนะ แต่แล้วกองทัพก็ล้มผลการเลือกตั้ง โดยอ้างว่าเมียนมายังไม่มีรัฐธรรมนูญ
กระทั่งในปี 2535 นายพลตาน ฉ่วย ขึ้นมามีอำนาจ ได้เปลี่ยนให้ สภาฟื้นฟูกฎหมายและระเบียบแห่งรัฐ (SLORC) จากเดิมที่เป็นองค์กรซึ่งตั้งโดย นายพลซอ หม่อง ที่ทำรัฐประหารในปลายปี 2531 เพื่อจัดระเบียบการเมืองภายในและเตรียมการเลือกตั้ง เป็นองค์กรที่ปกครองประเทศโดยตรงอย่างยาวนาน โดยในปี 2540 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น สภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ (SPDC) ใช้รูปแบบสภาทหาร จนถึงปี 2553 เมียนมาจึงได้กลับสู่ความเป็นประชาธิปไตยโดยมีการเลือกตั้งอีกครั้ง แม้จะมีคำอธิบายว่าเป็นประชาธิปไตยพหุพรรคแบบมีระเบียบวินัยก็ตาม
นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์การเมืองเมียนมาผู้นี้ ยังแนะนำหนังสือ The Structure Legislative Structure and Essence of Future State ซึ่งเขียนโดย Soe Mya Kyaw อดีตเจ้าหน้าที่รัฐของเมียนมาในยุครัฐบาลทหาร โดยระบุว่า หากใครอยากเข้าใจวิธีคิดของทหารเมียนมากับการเมือง หนังสือเล่มนี้สามารถอธิบายได้เป็นอย่างดี เช่น อ้างถึงเหตุการณ์นองเลือด 4 ครั้งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของเมียนมา ทำให้ทหารต้องเข้าแทรกแซง คือ
1.กบฏหลากสี ปี 2491-2492 ซึ่งมีทั้งกองกำลังพรรคก๊กมินตั๋งและกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ 2.รัฐบาลพลเรือนแตกออกเป็น 2 ฝ่าย ปี 2501 ส่งผลให้การบริหารประเทศเป็นไปได้ยาก 3.วิกฤติสหพันธรัฐ ปี 2505และ 4.การชุมนุมประท้วงของประชาชน ปี 2531 ประชาชนมองว่าเป็นการเรียกร้องประชาธิปไตยแต่กองทัพเห็นว่าเป็นเหตุการณ์ที่ต้องเข้ามาพยุงไว้
“ช่วงวิกฤตการณ์ของบ้านเมือง ทหารพม่ามองว่าไม่มีอัศวินขี่ม้าขาวแบบกองทัพไม่ได้ แล้วทหารพม่าพูดในพัฒนาการทางประวัติศาสตร์เลยว่า เรื่องของนักการเมืองเป็นเรื่องของ Party Politic การเมืองแบบพรรค แต่ภารกิจของกองทัพเป็นเรื่องของ National Politic การเมืองระดับชาติ ฉะนั้นการเมืองระดับชาติถ้ามันเกี่ยวข้องกับอธิปไตย เรื่องสงครามกลางเมือง ความมั่นคงของรัฐ กองทัพก็มีสิทธิ์ที่จะยึดอำนาจได้ อันนี้ผมคิดว่ามุมนี้ทำให้ทหารไม่สามารถแยกขาดจากการเมืองได้” อาจารย์ดุลยภาค ระบุ
อาจารย์ดุลยภาค ยังกล่าวถึง เนปิดอว์ เมืองหลวงของเมียนมา เป็นเมืองที่ออกแบบตามแนวคิดของนายพลตาน ฉ่วย ไม่เพียงเพื่อรับมือกับการชุมนุมประท้วงของประชาชนเท่านั้นแต่ยังรวมถึงการถูกโจมตีจากกองกำลังของประเทศมหาอำนาจด้วย เช่น สถานที่ตั้งของหน่วยงานราชการต่างๆ ไม่เชื่อมต่อกัน ขณะที่ระบบการสื่อสาร โครงข่ายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) ถูกฝังไว้ในลักษณะเชื่อมต่อระหว่างเมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์
ซึ่งน่าสนใจว่า ระบบนี้อาจทำให้กองทัพสามารถไล่กวาดจับผู้ประท้วงต่อต้านรัฐประหารในปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี