(ต่อจากฉบับวันพฤหัสบดีที่ 25 ก.พ. 2564) ยังคงอยู่กับการมอบ “รางวัลบุคคลและองค์กรที่มีผลงานดีเด่น ด้านการส่งเสริม ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน” ประจำปี 2563 ซึ่งจัดโดย สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2564ที่ผ่านมา โดยในตอนที่แล้วได้กล่าวถึง 2 บุคคลกับ 1 องค์กรที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ ส่วนในฉบับนี้ยังมีอีก 3 บุคคลและ 1 องค์กร
“ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง เด็กคือผู้ถูกกระทำมาก่อน ก่อนที่เขาจะมาถึงสถานพินิจเขาถูกกระทำอะไรมาบ้างยกตัวอย่างบางเคส เด็กถูกจับด้วยคดีกระท่อมไม่กี่ใบ ถามว่าทำไมเขาต้องเสพกระท่อม เพราะเขาต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัว หาเลี้ยงพ่อแม่ พ่อซึ่งไม่รับว่าเขาเป็นลูก แล้วเด็กจะต้องทำงานแล้วพ่อขี้เมา พ่อรับเด็กเป็นลูกเพื่อจะให้ลูกทำงาน ถามว่าเด็กต้องทำงาน เด็กขนาดนี้เขาควรได้รับการดูแลคุ้มครองไหม? เขาควรได้รับการเรียนหนังสือไหม?”
เรื่องเล่าจาก ลักษณเลิศ นันทิพานิชย์ ผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดระยอง ยกตัวอย่างบางกรณีของเด็กและเยาวชนผู้ก้าวพลาดจนต้องถูกจับกุมดำเนินคดี แต่เมื่อสืบค้นไปถึงชีวิตเบื้องหลังก็พบเรื่องราวน่าหดหู่ โดยเด็กรายดังกล่าวเข้ามาอยู่ในสถานพินิจฯเป็นเวลา 1 เดือน จึงยอมบอกว่าชีวิตผ่านอะไรมาบ้างและเมื่อทราบแล้วก็ให้พนักงานคุมประพฤติไปดูความเป็นอยู่ที่บ้าน ก็พบว่าเด็กต้องดูแลยายที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง กับป้าที่ป่วยเป็นออทิสติก
แต่โชคดีที่คดีนี้ศาลเข้าใจและสั่งให้มีมาตรการช่วยเหลือ นำไปสู่การประสานกับพัฒนาสังคมจังหวัดและกาชาดจังหวัด ถึงกระนั้นการนำเด็กกลับสู่ระบบการศึกษาก็ไม่ง่าย เพราะไม่มีกระทั่งเงินจะซื้อชุดนักเรียน ซ้ำร้ายยังมีความรู้สึกผิดเป็นบาดแผลอยู่ในใจ เพราะมีครั้งหนึ่งพี่สาวนำลูกเล็กมาฝากให้เลี้ยง แต่ด้วยความที่ถูกพ่อบังคับให้ออกไปทำงานกรีดยาง จึงต้องปิดบ้านไว้โดยปล่อยให้อยู่ตามลำพัง เมื่อกลับมาบ้านอีกทีก็พบว่าน้องจมน้ำเสียชีวิตเสียแล้ว ทั้งนี้ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดระยอง ได้รับรางวัลฯ ในประเภทองค์กร
เช่นเดียวกับ สุนทร สุนทรธาราวงศ์ ประธานมูลนิธิบ้านพระพร ซึ่งได้รับรางวัลฯ ประเภทบุคคล จากการทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังและผู้เคยต้องโทษมากว่า 40 ปี เล่าว่า การทำงานช่วง 20 ปีแรก พบปัญหาคือ “หลายคนพ้นโทษแล้วหางานทำไม่ได้ ตัดสินใจทำผิดซ้ำแล้วก็กลับเข้าไปอยู่ในคุกอีกครั้ง” จึงเป็นที่มาของการก่อตั้งบ้านพระพรขึ้น รวมเอาผู้พ้นโทษที่ไม่มีที่ไปมาอยู่ ให้เริ่มตั้งหลักได้ก่อนพร้อมกับหาอาชีพให้ทำ
“สังคมยังไม่ได้เปิดโอกาสขนาดนั้น ผมพาหลายคนไปทำงาน พอเขาตรวจประวัติเสร็จรู้ว่าเป็นผู้พ้นโทษก็ต้องไล่ออก ฉะนั้นในอดีตที่ผ่านมาก็เลยต้องทำข้อตกลงกับบริษัทและโรงงานมากมาย ต้องเดินทางไปทำข้อสัญญากับบริษัทโรงงานต่างๆ ว่าเมื่อเราส่งคนไปขอช่วยรับ อะไรต่ออะไร เราก็เลยมีเครือข่าย เวลานี้ก็เลยมีเครือข่ายโรงงาน บริษัทต่างๆ ที่พร้อมจะรับผู้พ้นโทษไปทำงาน แต่ต้องเป็นผู้ที่ออกมาจากบ้านพระพรที่เรามีการฝึกอบรมแบบเข้ม ฉะนั้นเราก็เลยต้องสร้างเครือข่ายขึ้นมา เวลานี้ก็มี 50 แห่งที่เป็นเครือข่ายกับเรา” สุนทร ระบุ
ปธ.มูลนิธิบ้านพระพร เล่าต่อไปว่า นอกจากจะช่วยผู้พ้นโทษให้มีอาชีพเพื่อลดความเสี่ยงทำผิดซ้ำแล้ว“บ้านพระพรยังรับดูแลเด็กที่เกิดจากแม่ที่ต้องโทษด้วย” โดยตามกฎของเรือนจำแม่จะอยู่กับลูกได้ 1 ปีหลังคลอดจากนั้นเด็กต้องไปอยู่ภายนอก โครงการนี้เริ่มต้นเมื่อ 8 ปีก่อนด้วยหลักคิดที่ว่า “แม้พ่อแม่ทำผิดแต่เด็กก็ไม่ควรจะมาลำบากด้วย” โดยเมื่อเด็กอายุได้ 3 ขวบแล้วก็ส่งให้เรียนหนังสือ ปัจจุบันบ้านพระพรมีบุตรของผู้ต้องขังในความดูแล 80 คน
จากเรื่องของผู้ก้าวพลาด สู่พื้นที่ที่มีความขัดแย้งสูงอย่าง “3 จังหวัดชายแดนใต้ (ปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส)”เหตุการณ์ความไม่สงบที่ดำเนินมากว่าทศวรรษสร้างความสูญเสียแก่ผู้คนมากมาย ซึ่ง ผศ.ชิดชนก ราฮิมมูลา คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (วิทยาเขตปัตตานี) ผู้ได้รับรางวัลฯ ประเภทบุคคล จากการริเริ่มหลักสูตร “สิทธิมนุษยชนศึกษา”และจัดตั้ง “ศูนย์ประสานงานสิทธิมนุษยชน” ในมหาวิทยาลัย เล่าว่า หากย้อนไปในปี 2554 โครงการนี้ไม่ง่ายที่จะเกิดขึ้น เพราะมหาวิทยาลัยอยู่ท่ามกลางการจับตามองจากฝ่ายต่างๆ
แต่เพราะยึดมั่นในหลักคิดที่ว่า “สถาบันการศึกษาไม่ใช่เป็นเพียงพื้นที่ปลอดภัยเท่านั้น แต่ต้องเคียงข้างและต่อสู้กับปัญหาสังคมไปพร้อมกันด้วยวิถีทางแห่งปัญญา” มหาวิทยาลัยไม่ได้อยู่ข้างใดข้างหนึ่ง แต่ต้องมีช่องให้ประชาชนได้ระบายปัญหาและเข้าถึงความยุติธรรมรวมถึงให้ความรู้เพื่อที่คนรุ่นต่อไปจะไม่ไปละเมิดอีก เป็นการป้องกันที่ต้นเหตุ นอกจากนี้ ยังมอบทุนการศึกษาจำนวน 10 ทุนให้กับเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุความรุนแรงในพื้นที่ พร้อมกับส่งไปฝึกงานในโครงการลูกนายอำเภอ เรียนรู้การทำงานฝ่ายปกครองกับนายอำเภอที่เป็นศิษย์เก่า
“บางรายพ่อถูกยิงและถูกเผา เป็นเด็กผู้หญิง ถามว่าโตไปอยากเป็นอะไร เขาบอกอยากมาเป็นนักปกครอง อยากจะมาดูแลประชาชน ในบรรดา 10 คนที่เราคัดเลือกไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่จะมาแก้แค้นหรืออะไรเลย เพราะเด็กมันบริสุทธิ์เกินกว่าที่จะคิดถึงเรื่องอย่างนี้ แต่ถามว่ากระบวนการที่จะตัดโซ่ห่วงความพยาบาทนี้ได้ และช่วงเวลาที่เด็กเจ็บป่วยทางจิตใจด้วยความทุกข์ยากอันนี้ ต้องได้รับการเยียวยา ได้รับการดูแล ต้องมีบ้านหลังที่ 2 ต้องมีความอบอุ่น เขาเรียกว่าห่วงโซ่ความพยาบาทนี้จะได้ถูกตัดไป” อาจารย์ชิดชนก กล่าว
ปิดท้ายด้วย อรนุช ชัยชาญ นักพัฒนาสังคมชำนาญการพิเศษ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย ที่เมื่อเร็วๆ นี้ ปรากฏเป็นข่าวกรณีช่วยเหลือหญิงชราวัย 89 ปี ที่ถูกเรียกคืนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเพราะได้รับบำนาญจากลูกชายเป็นทหารเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ โดยยืนยันว่าหญิงชรารายนี้ไม่ต้องคืนเบี้ยยังชีพเพราะไม่มีเจตนาปกปิดข้อมูล และยังรับเงินมาก่อนปี 2552 ที่มีการแก้ไขระเบียบห้ามผู้สูงอายุรับเงินซ้ำซ้อนด้วย
อรนุช ซึ่งได้รับรางวัลบุคคลและองค์กรที่มีผลงานดีเด่น ด้านการส่งเสริม ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิมนุษยชนประจำปี 2563 ประเภทบุคคล จากการทำงานเมื่อครั้งทำงานอยู่ที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิจิตร ในการต่อสู้กับขบวนการค้ามนุษย์เพื่อช่วยเหลือเด็กสาวจากประเทศเพื่อนบ้านที่ถูกล่อลวงมาค้าประเวณี จนเคยถูกขู่ฆ่าเพราะเข้าไปขัดขวางธุรกิจมืดที่มีผลประโยชน์มหาศาล
“เขาบอกว่าถ้ารถสีชมพูของ พม. ผ่านมาสี่แยกเมื่อไรจะยิง ขนาดนี้จริงๆ จนช่วงหลังจะไม่เอารถสีชมพูผ่านไปตรงสี่แยกโพธิ์ไทรงามอีกเลย คือพอเราทำงานกับกองปราบค้ามนุษย์ เจ้าหน้าที่กองปราบฯเขาก็บอกว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งต้องย้ายออกจากพื้นที่ไปอยู่เพชรบุรี เขาบอกว่า ผมว่าพี่ออกจากพื้นที่ดีแล้ว ผมรู้สึกว่าพี่จะไม่ปลอดภัย แล้วก็ได้ย้ายกลับมา อันนี้เรื่องของเหยื่อค้ามนุษย์ ทุกวันนี้ถามว่ายังมีไหม? ก็ยังมี แต่มันเปลี่ยนรูปแบบ เพราะสื่อโซเชียลมันเยอะ มันขายกันทางโซเชียล” อรนุช ระบุ
นักพัฒนาสังคมผู้นี้ ยังยกตัวอย่างเพิ่มเติม เช่น มีชายหนุ่มแอบถ่ายคลิปวีดีโอขณะมีเพศสัมพันธ์กับแฟนสาวเพื่อนำไปขายในอินเตอร์เนต เรื่องนี้ทำฝ่ายหญิงเกือบฆ่าตัวตายแต่เมื่อพ่อแม่ทราบแล้วไปแจ้งความตำรวจกลับบอกว่าผู้หญิงสมยอมจึงไม่สามารถดำเนินคดีได้ เรื่องนี้ได้เข้าไปช่วยประสานให้โดยปัจจุบันอยู่ในกระบวนการยุติธรรม หรือกรณีอื่นๆ เช่น เด็กหญิงอายุ 10 ปี มีปัญหาพัฒนาการช้า ถูกล่วงละเมิดจากคนในครอบครัวแล้วชุมชนช่วยกันปกปิด เพราะกลัวญาติของตนเองที่ไปร่วมกระทำผิดจะถูกดำเนินคดีด้วย เมื่อทราบเรื่องก็ได้เข้าแจ้งความเช่นกัน
“สตรีที่ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว ต้องยอมรับว่าสังคมยังปิดบังข้อมูลเหล่านี้อยู่ ผู้หญิงบางทีไม่กล้าบอกหรอกว่าตัวเองถูกทำร้ายมา ต้องยอมรับสังคมมันมีอย่างนี้จริงๆ ถูกต่อยถูกเตะ ไปโรงพยาบาลบอกว่ามอเตอร์ไซค์ล้ม แต่เราเห็นแล้ว เมื่อเราได้รับแจ้งว่าผู้หญิงถูกทำร้ายเราก็ต้องคุ้มครองเขา เพราะเรามองว่าไม่มีใครที่มีสิทธิ์ทำร้ายได้ แม้คนนั้นจะเป็นสามีถูกต้องตามกฎหมายก็ตาม” อรนุช กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี