“ยาเสพติด” เป็นปัญหาที่ส่งผลตั้งแต่สุขภาพของปัจเจกบุคคลไปจนถึงความมั่นคงของรัฐ ซึ่งเชื่อมโยงกับปัญหาอื่นๆ อย่างอาชญากรรมและคอร์รัปชั่น ที่ผ่านมาวาระของแต่ละประเทศรวมถึงในระดับโลกล้วนตั้งเป้าหมายขจัดยาเสพติดให้หมดไป แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับพบว่าไม่สามารถทำได้ นำมาสู่แนวคิดในระยะหลังๆ ที่ประนีประนอมขึ้น เช่น เปิดโอกาสให้ผู้เสพสมัครใจเข้าบำบัดแลกกับการไม่ถูกเอาผิดทางกฎหมาย หรืออนุญาตให้ใช้ยาเสพติดบางประเภทได้แบบควบคุม อาทิ บางประเทศให้เสพกัญชาได้โดยจำกัดปริมาณการซื้อ เป็นต้น
เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการจัดงานเสวนาหัวข้อ “การระบาดสารเสพติดและตลาดการค้า”โดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ ศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.) ซึ่ง นพ.มูฮัมมัดฟาห์มี ตาเละ อาจารย์คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (วิทยาเขตปัตตานี) กล่าวว่า เมื่อดูให้ทั่วทั้งวงจรการระบาดของยาเสพติดจะพบผู้เกี่ยวข้องหลากหลาย ตั้งแต่ “ผู้ผลิต” เช่น เกษตรกรในฐานะผู้ปลูกพืชวัตถุดิบ “ผู้ขนส่ง” ขบวนการลำเลียงยาเสพติด “ผู้ค้า” ตั้งแต่ระดับนายหน้ารายใหญ่ไปถึงผู้ค้ารายย่อย
สุดท้ายคือ “ลูกค้า” หรือผู้ใช้ยาเสพติด ซึ่งอาจารย์มูฮัมมัดฟาห์มี กล่าวว่า การจะตัดวงจรหรือปราบยาเสพติดจึงต้องจัดการกับทุกคนในวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ อย่างไรก็ตาม “ปัญหายาเสพติดเกี่ยวข้องกับความยากจนและการเมือง” กล่าวคือ แหล่งผลิตยาเสพติดสำคัญของโลก มักอยู่ในประเทศที่ประชากรมีฐานะค่อนข้างยากจน และเป็นดินแดนที่มีความขัดแย้งทางการเมืองสูง
เช่น โคลัมเบีย เป็นแหล่งปลูกต้นโคคาที่สามารถนำไปแปรรูปเป็นโคเคน พบว่า กองกำลังติดอาวุธทั้งฝ่ายซ้าย (FARC) และฝ่ายขวา (AUC) แม้ในตอนแรกจะก่อตั้งขึ้นด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับกลายเป็นกลุ่มที่หารายได้จากยาเสพติดเพื่อเลี้ยงกองกำลังเหมือนกัน หรือประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่าง เมียนมา เป็นพื้นที่ที่มีความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ และบางพื้นที่ที่กองกำลังเหล่านี้ครอบครองก็มีรายได้จากการปลูกฝิ่นอันเป็นพืชที่ใช้แปรรูปเป็นเฮโรอีน รวมถึงจากการผลิตยาบ้า
“การใช้ยาเสพติดทำให้ Productivity (กำลังการผลิต) ของสังคมมันลดลง อันที่หนึ่งก็คือคนที่ใช้ยาเสพติดอาจจะไม่ต้องทำงานทำการเพราะเขามีความสุขดีกับการใช้ยาเสพติด อันที่สองคือเวลาสังคมเห็นคนที่ประสบความสำเร็จ รวยเร็วๆ จากการค้ายา ก็อาจจะทำให้เกิดแรงจูงใจที่ผิดเพี้ยน นั่นคือเด็ก-เยาวชนรุ่นใหม่ก็จะไปค้ายา” อาจารย์มูฮัมมัดฟาห์มี กล่าว
เช่นเดียวกับ ชวนพิศ ชุ่มวัฒนะ อดีตที่ปรึกษา สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) กล่าวว่า ตลาดยาเสพติดไม่สามารถนำวิธีคิดแบบสินค้าอื่นๆ ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างกำลังการผลิต (Supply) กับความต้องการของผู้บริโภค (Demand) มาใช้ได้ เพราะ “ไม่มีใครรู้ว่าปริมาณยาเสพติดจริงๆ มีอยู่เท่าไรกันแน่” แนวคิดที่ว่าการทำให้ปริมาณยาเสพติดลดลงเพื่อให้ราคายาเสพติดสูงขึ้นจนทำให้จำนวนผู้เสพลดลงจึงไม่ประสบความสำเร็จ เพราะราคายาเสพติดไม่ได้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและคนเสพก็ยังมีกำลังซื้อหามาเสพได้
ขณะเดียวกัน “ผู้ค้าก็มีความพยายามรักษาตลาดไว้” เช่น มีการลดแลกแจกแถม นอกจากนี้ “ต้นทางของยาเสพติดยังอยู่นอกประเทศ ทางการของอีกประเทศจึงไม่สามารถข้ามแดนไปจัดการได้เพราะอยู่นอกเขตอำนาจอธิปไตย” อีกทั้งเมื่อยาเสพติดเป็นสินค้าที่มีต้นทุนสูงและมูลค่าสูง ผู้ผลิตจึงกล้าลงทุนจัดหาอาวุธสงครามให้กองกำลังลำเลียงยาเสพติดใช้ป้องกันสินค้าจากการสกัดกั้นของหน่วยปราบปรามยาเสพติด
“พอผลิตได้ ลำเลียงเข้ามาในประเทศ ป.ป.ส.ยังจัดพวกนี้อยู่ในกลุ่มผู้ค้ารายใหญ่ ขนเข้ามาทีเยอะๆตรงนั้นก็จะมี 2 พวก พวกหนึ่งคือพวกที่มีส่วนลงทุนอันนั้นคือเงินของเขา เขาก็ป้องกันเต็มที่เหมือนกัน จะเห็นว่าเวลาเราจับรายใหญ่ๆ ขนกันมาเป็นร้อยๆ กิโลกรัมก็จะมีการต่อสู้ด้วย เขาก็พยายามจะป้องกันของเขาเต็มที่ กับอีกอย่างหนึ่งคือโทษมันหนัก พอโทษหนักทุนก็สูง เพราะฉะนั้นมันก็คุ้มกับที่เขาจะต้องต่อสู้ป้องกันเต็มที่ ป้องกันทรัพย์สินของเขา ป้องกันชีวิต ป้องกันอนาคตของเขา
ต้องยอมรับจริงๆ ว่าทำให้ปลอดยาไม่ได้ เพราะจริงๆ มันเป็นธรรมชาติของคน คนมันมีเชื้อที่จะต้องใช้อะไรสักอย่างหนึ่งเป็นทางออกให้ชีวิต แต่ว่าเราจะทำอย่างไรให้มันเป็นอันตรายน้อยที่สุด พูดถึงตลาดต้นทาง ตลาดตรงกลาง มันจะมีอีกกลุ่มที่จับได้ยึดได้ บางทีก็บอกทำไมจับของกลางได้ตั้งเยอะตั้งแยะไม่เห็นจับผู้ต้องหาได้เลย พวกนั้นรับจ้างมา เพราะฉะนั้นของเสียไปเขาไม่เดือดร้อน อันนั้นจะไม่ค่อยมีการต่อสู้ ผู้ต้องหามันไม่อยู่ให้เห็นให้จับ มันก็หนีไปเลย” ชวนพิศ ระบุ
อดีตที่ปรึกษา ป.ป.ส. กล่าวต่อไปว่า “กลุ่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนคือกลุ่มผู้ค้ารายย่อยและเป็นกลุ่มที่คนในชุมชนรู้จัก” แต่ที่ไม่มีการปราบปรามผู้ค้ากลุ่มนี้อย่างเด็ดขาดทุกรายก็มีเหตุผล อาทิ ในบางประเทศนั้นทางการยอมปล่อยให้มีการซื้อ-ขายยาเสพติดในบางพื้นที่ “การที่รัฐปล่อยไว้ในบางจุดแล้วรู้ตัวผู้ค้า-ผู้เสพ ดีกว่าปราบให้หมดแล้วคนเหล่านี้ก็ลงใต้ดินไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนทำอะไรบ้าง” อีกทั้งการปราบปรามยาเสพติดในลักษณะกวาดจับให้หมด ยังทำให้เกิดปัญหานักโทษล้นคุกด้วย
“การปราบปรามยาเสพติดจึงเน้นไปที่การสกัดกั้นยาเสพติดที่จะทะลักเข้ามาจากนอกประเทศ รวมถึงจับกุมและยึดทรัพย์ผู้ค้ารายใหญ่” ส่วนยาเสพติดที่ยังจำหน่ายอยู่ในชุมชน ต้องอยู่ในระดับที่คนในชุมชนพอยอมรับได้ไม่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง และต้องเป็นยาเสพติดที่รู้จักกันดีเพราะการรับมือจะทำได้ง่าย เช่น เมื่อเร็วๆ นี้ ที่มีการระบาดของ “เคนมผง” สร้างความปวดหัวให้กับทั้งฝ่ายปราบปรามที่ไม่รู้ว่ามันคือยาอะไร และฝ่ายรักษาที่ไม่รู้ว่าจะแก้พิษจากฤทธิ์ยาที่ผู้เสพได้รับอย่างไร
ก่อนหน้างานเสวนาข้างต้น ย้อนไปเมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2564 เว็บไซต์สถานีโทรทัศน์ France24 ของฝรั่งเศสเสนอข่าว Thai meth barons look closer to home as pandemic curbs exports โดยตอนหนึ่งกล่าวถึงเมทแอมเฟตามีนหรือที่คนไทยเรียกว่ายาบ้า มีการใช้กันในกลุ่มอาชีพที่ต้องใช้แรงงานอาบเหงื่อต่างน้ำ เช่น มอเตอร์ไซค์รับจ้าง คนงานขนสินค้า เพื่อให้ทำงานได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยโดยหวังจะมีรายได้เพิ่มขึ้น
ยาเสพติดจึงเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน“ปราบให้หมดสิ้นก็เป็นไปไม่ได้..ปล่อยไว้เสรีก็เป็นอันตรายต่อสังคม” คำถามคือ “แล้วจะหาทางออกกันอย่างไร?”!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี