"...ต่อแต่นี้ไปจะกล่าวถึงวิธีการทรงฌานในพรหมวิหาร 4 คือว่าจิตของเรามี 2 อารมณ์ บางอารมณ์มันเป็นอารมณ์ชอบคิด บางคราวชอบคิด บางคราวชอบสงบ ถ้าเวลาที่จิตของเราต้องการ ความสงบ เราก็ยึดอานาปานุสสติกรรมฐานเป็นพื้นฐาน ให้จิตทรงตัว แต่การที่ท่านจะภาวนาว่าอย่างไรร่วมด้วยอันนี้ผมไม่ทราบ เพราะว่าคำภาวนานี้เป็นเครื่องโยงจิตให้ทรงสมาธิ บางท่านไม่ต้องการภาวนา ก็ใช้แต่เพียงกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกทั้ง 2 แบบ คือ
แบบมหาสติปัฏฐานสูตร หายใจเข้าหายใจออกรู้อยู่ หายใจเข้ายาวหรือสั้น หายใจออกยาวหรือสั้นก็รู้อยู่ อย่างนี้ตามแบบมหาสติปัฏฐานสูตร
ถ้าตามแบบกรรมฐาน 40 ใช้กำหนดรู้ลมหายใจ 3 ฐาน เวลาหายใจเข้าลมกระทบจมูกรู้ กระทบหน้าอกรู้ กระทบศูนย์เหนือสะดือรู้ เวลาหายใจออกลมกระทบศูนย์เหนือสะดือรู้ เวลาหายใจออกลมกระทบหน้าอก กระทบจมูก หรือกระทบริมฝีปากรู้ เอาจิตจับเพียงจุดแค่นี้ ประเดี๋ยวเดียวจิตก็ทรงฌาน ถ้าหากว่าจะภาวนาว่าอย่างไรด้วยก็ตามใจหรือไม่ภาวนาเลยก็ตามใจทำเพื่อให้จิตสงบ ให้จิตทรงตัว
ทีนี้บางขณะจิตต้องการคิด ในพรหมวิหาร 4 ต้องใช้อารมณ์คิด คิดหาเหตุผลว่า คนและสัตว์ในโลกนี้มีเราเป็นต้น ไม่ต้องการความทุกข์ เราต้องการแต่ความสุข เราไม่ต้องการศัตรเราต้องการความเป็นมิตร เรื่องคิดไม่ต้องไปคิดถึงคนอื่น คิดถึงเรา กิริยาเช่นใด หรือวาจาเช่นใด ที่คนอื่นใดเขาทำกับเรา เราไม่ชอบ ก็จงมีความรู้สึกว่าอาการหรือกิริยาเช่นนั้น ถ้าเรากระทำกับคนอื่น คนอื่นก็ไม่ชอบเหมือนกัน
ทำใจให้มันมีความรู้สึกว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เป็นธรรมดาหรือเมื่ออาการอย่างนั้นปรากฏขึ้น อารมณ์เราก็ปกติ ไม่มีการหวั่นไหวใดๆ ทั้งหมดมีอารมณ์เฉยๆ ไม่กระทบกระทั่งใจ เป็นอันว่าอย่างนี้เรียกกันว่า อุเบกขา หรือว่า โลกธรรมใดๆ มันเกิดขึ้น
"ความมีลาภเกิดขึ้น หรือลาภสลายตัวไป, การได้ยศมา ยศสลายตัวไป, ความสุขจาก กามารมณ์ โลกีย์วิสัยเกิดขึ้น สุขนั้นสลายไป มีทุกข์มาแทน, ได้รับคำนินทา หรือได้รับคำสรรเสริญ อาการอย่างนี้เกิดขึ้นกับเรา เราก็มีความวางเฉยเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถือว่าเป็นธรรมดาของชาวโลก เกิดมาอย่างนี้มันต้องกระทบกระทั่ง ไม่มีใครสามารถจะล่วงพ้นไปได้ อย่างนี้ชื่อว่า พรหมวิหาร 4 ของเราครบถ้วน"
ถ้าเราถูกนินทาว่าร้าย แทนที่เราจะโกรธ เรากลับสงสารคนที่เขาว่า เขานินทาเรา เพราะว่านั่น เขาสร้างศัตรูเพื่อสร้างความทุกข์ และก็นั่งคอยดู ว่าคนเขานินทาว่าร้ายเรา เขาจะหาความสุขอะไรไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าจิตใจของเราทรงพรหมวิหาร 4 อยู่เป็นปกติ ถ้าเขาคิดทำลายเราประเภทไหน อาการอย่างนั้นแหละ มันจะเข้ากับเขาในไม่ช้า ที่โบราณท่านกล่าวว่า "การตบมือข้างเดียวไม่ดัง" หรือว่า "การถ่มน้ำลายรดฟ้ามันก็รดหน้าตัวเอง" แทนที่เราจะโกรธ เรากลับสงสารว่า เขาไม่น่าจะทำอย่างนั้น
สำหรับอารมณ์จิตที่เป็นฌานในพรหมวิหาร 4 ก็คือว่ามีอารมณ์อยู่อย่างนี้เป็นปกติ ไม่มีความหวั่นไหวต่ออาการใดๆ ที่เข้ามากระทบกระทั่งใจ แทนที่จะเกลียด แทนที่จะโกรธ เราก็ยังมีเมตตา ความรัก เรามีความกรุณา สงสาร มีจิตใจอ่อนโยนไม่อิจฉาริษยาเขา เมื่อเขาพลาดพลั้งเราไม่ซ้ำเติม เฉย ถือว่าเป็นกฎของกรรม นี่ว่ากันโดยอาการของการทรงพรหมวิหาร 4 ให้เป็นฌานว่า "ฌาน" นี่ไม่ใช่นั่งหลับตา ฌานหลับตาน่ะมันไม่จริง
ฌานจริงๆนั้นก็คือว่า "อารมณ์ทรงอยู่เป็นปกติ หลับตาหรือลืมตา พูดอยู่ คุยอยู่ ทำงานอยู่ จิตใจเยือกเย็นมีความสุข ปรารถนาที่จะเกื้อกูล บุคคลที่มีความทุกข์ ให้มีความสุข นี่ชื่อว่าฌานของพรหมวิหาร 4 คืออารมณ์ 4 ประการนี้ต้องทรงตัว" จะทรงตัวได้เพราะอะไร เพราะว่าใจของเขาทรง อิทธิบาท 4 คือ ฉันทะ เรามีความพอใจในพรหมวิหาร 4 วิริยะ อาการอย่างไรที่เขาจะขัดข้อง หรือความโหดร้ายของใจมันจะมีขึ้น อารมณ์อิจฉาริษยามันจะมีขึ้น อย่างนี้เราต้องใช้วิริยะ ความเพียรเตือนใจว่า นั่นมันเป็นความเลวของจิต มันไม่ใช่สถานะที่สร้างความเป็นมิตร สร้างความสุข หาความสุขมาให้ตน อารมณ์ที่เป็นอกุศล อย่างนี้จะต้องไม่มีสำหรับเรา เพียรทำลายมันเสีย
จิตตะ เอาใจจดจ่อ มีความรู้สึกนึกอยู่เสมอ ในเรื่องของความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อย่าไปท่องแบบนี้นะ เรื่องของความรัก ความสงสาร ความไม่อิจฉาริษยาใคร ใจวางเฉยต่ออารมณ์ทั้งปวง
ดูตัวอย่างพระพุทธรูปทำใจของเราให้เหมือนใจของพระพุทธรูป พระพุทธรูปท่านยิ้มอยู่ตลอดเวลา หนาวก็ยิ้ม ร้อนก็ยิ้ม ใครเขาจะเอาอะไรไปถวายก็ยิ้ม เขาไม่ถวายก็ยิ้ม เขาด่าท่านก็ยิ้ม เขาชมท่านก็ยิ้ม พระพุทธรูปไม่มีจิตวิญญาณ แต่ว่าเรามีจิตวิญญาณ ควรทำอาการของใจ คือ วางเฉยเช่นเดียวกับพระพุทธรูป
นี่ว่ากันถึงว่าอารมณ์ของการทรงฌานของพรหมวิหาร 4 แต่ว่าการทรงฌานเพียงเท่านี้ ยังดีไม่พอเพราะอะไร ดีไม่ได้ ยังไม่ใช่พระอรหันต์ นี่เราก็ต้องทรงให้มันดีไปกว่านั้น
ทีนี้เมื่อกี้เราพูดกันว่า เรื่อง เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร ต่อแต่นี้ไป เราก็สร้างความรัก สร้างความสงสารในตัวเราให้มาก ทำอารมณ์ให้ก้าวไปสู่ความเป็นพระอนาคามี
สำหรับพระสกิทาคามีนี่ผมไม่พูดถึง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าคนที่ทรงพรหมวิหาร 4 ถ้าทรงพรหมวิหาร 4 จริงๆ นี่การเป็นพระโสดาบัน กับสกิทาคามีอยู่ในกระเป๋า ไม่ต้องมีอะไรมาก พระอริยะ 2 ระดับนี้อยู่ในกระเป๋าแน่นอน เป็นอันว่าได้กันแน่ ไม่มีทางจะหลีกพ้นไปได้ ถ้าหากว่าทรงพรหมวิหาร 4 จริงๆนะ ต้องเป็นพระอริยะเจ้าขั้นนี้ได้จริงๆ ถ้าทรงไม่จริงมันก็ลงนรกกันเท่านั้นแหละ ขาดพรหมวิหาร 4 ตัวใดตัวหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรหมวิหาร 4 นี่ถ้าเราพร่อง ตัวใดตัวหนึ่ง หรือข้อใดข้อหนึ่ง นั่นคือเราลงนรกแน่
พรหมวิหาร 4 ผมบอกได้แล้วว่า เป็นอาหารเลี้ยงจิตในด้านศีล เลี้ยงสมาธิ เลี้ยงปัญญา เป็นอันว่าการเจริญพรหมวิหาร 4 นี้เป็นพระอรหันต์ง่ายที่สุด ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่ามีแต่สภาพเย็น
...........................
คัดลอกจากหนังสือพ่อรักลูก 2 หน้า 26-35 คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี