รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ที่ได้มีการประกาศและบังคับใช้เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศในขณะนี้ เป็นที่เข้าใจและยอมรับกันโดยทั่วไปว่า เป็นรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นมาภายหลังจากการรัฐประหารยึดอำนาจของ คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะ ซึ่งได้ใช้อำนาจในฐานะองค์รัฏฐาธิปัตย์ แต่งตั้งให้มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาถึง 2 คณะ คือ 1. กรรมาธิการชุดที่มีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน 2. กรรมาธิการชุดที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน จึงสามารถร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 สำเร็จ และมีการประกาศใช้ในปัจจุบัน
แม้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว ก่อนการประกาศใช้จะได้มีการนำไปให้ประชาชนทั่วประเทศ ออกเสียงลงประชามติเมื่อ 7 สิงหาคม 2559 เพื่อให้ความเห็นชอบแล้วก็ตาม แต่ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายจำนวนมาก ที่ได้ลงประชามติไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญปี 2560 และประชาชนอื่นๆ รวมถึงพรรคการเมืองต่างๆ ที่มีความเห็นว่าเนื้อหาของรัฐธรรมนูญยังมีหลายประเด็นที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ขัดต่อหลักเจตนารมณ์ที่ชอบธรรมตามหลักกฎหมายสำคัญสูงสุดของประเทศในหลายประการ ต่างได้ออกมาคัดค้านและเรียกร้องให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม หรือขอให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ทั้งฉบับ โดยการยกร่างจากตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เพื่อให้เป็นกฎหมายสูงสุดที่ได้รับการยอมรับของประชาชนทั่วประเทศ โดยมิต้องมีความคลางแคลงใจว่า รัฐธรรมนูญที่ใช้ในปัจจุบันนี้ เป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจที่มาจากการรัฐประหาร เพื่อการสืบทอดอำนาจโดยไม่เป็นธรรมต่อประชาชน และกลุ่มและพรรคการเมืองอื่นๆ โดยแตกต่างจากการรัฐประหารในแต่ละครั้งที่ผ่านมา
ด้วยเหตุดังกล่าว นับแต่รัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้ จนนำมาสู่การเลือกตั้งทั่วไป โดยมีรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยเสียงสนับสนุนจาก สส.และ สว.ที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช. จึงเกิดเสียงเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นมาโดยตลอด และกลายเป็นกระแสสูงทางการเมืองกดดันรัฐบาล รวมถึงพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลให้ต้องแสดงจุดยืนในเรื่องนี้ ว่าจะมีจุดยืนอย่างไร ต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตย
พรรคการเมืองร่วมรัฐบาล ที่ได้แสดงจุดยืนเข้มแข็ง และแสดงการไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญ 2560 มาแต่ต้น ตั้งแต่ในช่วงการลงประชามติก็คือพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนพรรคฝ่ายค้านก็แสดงจุดยืนไม่ยอมรับมาแต่ต้นเพียงแต่ไม่สามารถรณรงค์เอาชนะในการออกเสียงลงประชามติได้ กล่าวโดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อต้องมาเข้าร่วมรัฐบาลสนับสนุน พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ยังประกาศเงื่อนไขการร่วมรัฐบาลว่า รัฐบาลต้องยอมรับให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบรรจุไว้เป็นนโยบายรัฐบาลเท่านั้น ประชาธิปัตย์จึงจะยอมรับเข้าร่วมรัฐบาล และที่สุดรัฐบาลก็ยอมรับเงื่อนไขและหลักการตามที่ประชาธิปัตย์เสนอ จึงสามารถจับมือร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลโดยมีพรรครวมพลังประชารัฐเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ นี่คือพันธะที่ประชาธิปัตย์ต้องไม่ลืม
เมื่อมีการแถลงนโยบายของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2562 ในนโยบายเร่งด่วนข้อที่ 12 รัฐบาลได้แถลงไว้โดยชัดแจ้งว่า “สนับสนุนให้มีการศึกษา รับฟังความเห็นของประชาชน และดำเนินการเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะในส่วนที่ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ” จึงเท่ากับว่า รัฐบาลและพรรคแกนนำในการร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลทุกพรรค ได้ประกาศให้สัญญาประชาคมไว้โดยชัดเจนว่า จะสนับสนุนและดำเนินการให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยปราศจากข้อสงสัยหรือข้อแก้ตัวใดๆ ที่จะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่สามารถเดินหน้าไปได้ ความพยายามใดๆที่จะหยุดยั้ง เตะถ่วง ดึงเวลา หรือหาทางสกัดขัดขวางมิให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญดำเนินการไปได้ ตามกระบวนการโดยชอบ หากเกิดขึ้นเพราะการกระทำของรัฐบาลและพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลแล้ว ย่อมเท่ากับเป็นการตระบัดสัตย์ ไม่ปฏิบัติตามสัญญาประชาคม คำประกาศและการแถลงนโยบาย ที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภานั่นเอง
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ขณะนี้ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้น ทุกพรรคการเมืองได้เสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ โดยได้ผ่านการโหวตยอมรับในวาระหนึ่งไปแล้ว และกำลังจะเข้าสู่การพิจารณาในวาระ 2 และ 3 นั้น และได้มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญโดยเสียงข้างมากว่า “รัฐสภามีหน้าที่และอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ โดยต้องให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้ลงประชามติเสียก่อนว่า ประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และเมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ต้องให้ประชาชนลงประชามติเห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้งหนึ่ง”
กรณีนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่ารัฐสภามีอำนาจหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ เพียงแต่มีเงื่อนไขบังคับก่อนว่าต้องขอประชามติจากประชาชนเท่านั้น จึงเป็นหน้าที่ของรัฐสภาที่จะต้องดำเนินการให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเดินหน้าต่อไปได้ มิใช่การพยายามตีความและกระทำการไปในทางที่จะหยุดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือแช่แข็งมิให้กระบวนการที่จะนำไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย เดินหน้าต่อไปได้ในทิศทางที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน เพราะหากการกระทำใดๆ ของรัฐบาลก็ดี พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลายก็ดี หากเป็นไปในลักษณะที่ส่อไปในทางที่ทำให้ประชาชนไม่ไว้วางใจ วิกฤติการเมืองครั้งใหญ่อาจถาโถมเข้าใส่ เท่ากับจุดไฟเผาตัวเองปลุกกระแสต้านรัฐบาลที่กำลังอ่อนกำลังลงให้เข้มแข็งขึ้นมาได้ และเมื่อนั้นรัฐนาวาประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องเผชิญหน้ากับประชาชน อย่างหลีกเลี่ยงมิได้อย่าทำให้ปัญหารัฐธรรมนูญกลายเป็นวิกฤติ ซ้ำรอยอดีตอีกเลย
ประพันธุ์ คูณมี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี