“ทุกคนหวังว่าไม่มีใครต้องเสียใจ ไม่มีใครต้องสูญเสียจากความประมาทของคนอื่น การดื่มสุราคนไทยอาจจะชินว่าการดื่มสุราเป็นเรื่องสังสรรค์อย่างมีความสุข แต่ไปก่อให้เกิดความทุกข์กับผู้อื่นไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงแน่ๆ”
คำกล่าวของ ณัฐพล แย้มฉิม ประธานสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ในงานเสวนา “อุบัติเหตุดื่มแล้วขับกับความผิดซ้ำ และการขายอย่างรับผิดชอบ” ที่ รร.แมนดาริน สามย่าน กรุงเทพฯ เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยทางสวนดุสิตโพล ได้เผยแพร่ผลสำรวจเรื่อง “ปัญหาดื่มแล้วขับ ความผิดซ้ำไม่รอลงอาญา” ซึ่งสอบถามความคิดเห็นจากประชาชนกลุ่มตัวอย่างจำนวน 2,152 คน จาก 16 จังหวัดที่มีปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงในช่วงปี 2561-2563 ระหว่างวันที่ 15-28 ก.พ. 2564 พบว่า
1.ส่วนใหญ่รู้ว่าเมาแล้วขับมีความผิดตามกฎหมาย กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 82.57 รู้ว่ามีกฎหมายและมีบทลงโทษ 2.ส่วนใหญ่รู้ว่าเมาแล้วขับเป็นปัจจัยหลักทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน กลุ่มตัวอย่างระบุแบบนี้ถึงร้อยละ 95 โดยแม้ตนเองเมาแล้วไม่ได้ไปชนใครโดยตรงแต่การขับรถอย่างไม่มีสติก็อาจทำให้ผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ เกิดอุบัติเหตุได้ 3.ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการเพิ่มโทษและไม่รอลงอาญากรณีผู้กระทำผิดฐานเมาแล้วขับซ้ำสอง มีกลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยถึงร้อยละ 93
ตัวอย่างของความสูญเสียจากผู้ขับขี่ยานพาหนะที่มีอาการมึนเมา สนั่น สุทธิประภา พ่อที่สูญเสียลูกชายไปเมื่อ 2 ปีก่อน โดยในตอนนั้นเป็นช่วงเวลาประมาณตี 2
ขณะที่ทุกคนในครอบครัวกำลังนอนหลับในบ้านพักริมถนนในพื้นที่ จ.ปทุมธานี จู่ๆ ก็มีรถพุ่งชนเข้ามาในบ้านอย่างแรงและพบว่าคนขับมีอาการเมารวมถึงมีขวดเหล้าอยู่ในรถ อุบัติเหตุครั้งนี้ยังทำให้ลูกสาวได้รับบาดเจ็บด้วย
“คนที่ดื่มแล้วขับ ตั้งสติแล้วก่อนที่จะไปดื่มต้องวางแผนว่ามีคนขับรถให้ไหม? จะไปสังสรรค์ตรงไหนร้านไหน? จะได้รู้ว่าดื่มขนาดไหนไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้สังคมอีก ทางร้านก็ต้องให้คนที่ดื่มต้องดูด้วยว่าควรให้เขาดื่มขนาดไหน? ต้องดูระเบียบด้วย กะเกณฑ์ให้อยู่ร่วมกันได้”คุณพ่อผู้สูญเสียท่านนี้ กล่าว
ขณะที่ นพ.ธนะพงษ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน (ศวปถ.) กล่าวถึงสถิติที่เป็นค่าเฉลี่ยจากผลการศึกษาทั่วโลก พบว่า หากตรวจจับผู้กระทำผิดฐานเมาแล้วขับเพิ่มเพียงร้อยละ 10 จะลดการตายลงได้ร้อยละ 3.4 หรือที่รัฐนิวเซาท์เวลส์ของประเทศออสเตรเลีย การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากเมาแล้วขับจากร้อยละ 40 ลงมาอยู่ที่ร้อยละ 15
จะเห็นได้ว่า “เมื่อผู้ขับขี่รู้ว่าทำผิดแล้วไม่รอดจากการถูกจับและรู้สึกว่าไม่คุ้มที่จะทำผิดเพราะโทษหนักก็จะตัดสินใจไม่ทำ” ทั้งนี้สำหรับกรณีคนทำผิดซ้ำกรณีเมาแล้วขับ กฎหมายญี่ปุ่นลงโทษจำคุก 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ส่วนออสเตรเลีย หากทำผิดซ้ำฐานเมาแล้วขับในระยะเวลา 5 ปี จะถูกเพิกถอนใบขับขี่ตลอดชีวิต แต่สำหรับประเทศไทย ยังมีปัญหาด้านกระบวนการดำเนินคดีที่ต้องแก้ไข
“คนเมาเป็นความผิดที่ต้องส่งฟ้องศาลแขวง ตำรวจต้องส่งฟ้องใน 48 ชั่วโมง พอส่งใน 48 ชั่วโมงก็มีแนวโน้มที่พอไปถึงศาลก็จะไม่มีประวัติความผิดเดิมเข้ามา อันนี้เป็นจุดอ่อนของกระบวนการบังคับใช้ พอไม่มีประวัติเก่าการตัดสินก็จะเสมือนหนึ่งเป็นความผิดครั้งแรก” นพ.ธนะพงษ์ ระบุ
เช่นเดียวกับ ภก.สงกรานต์ ภาคโชคดี ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายงดเหล้า กล่าวเสริมว่า ประเทศญี่ปุ่นเคยมีปัญหาอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับรุนแรง แต่ปัญหานั้นลดลงได้ภายในเวลา 10 ปี จากการจับกุมและลงโทษอย่างจริงจัง เช่น เมาแล้วขับหากไปชนผู้อื่นเสียชีวิตต้องถูกจำคุกนานกว่า 10 ปี ไม่มีรอลงอาญา นั่นทำให้คนญี่ปุ่นที่ดื่มหนักอาจจะยิ่งกว่าคนไทยด้วยซ้ำไม่นำรถออกไปขับเมื่อรู้ว่าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ในงานเสวนานี้ยังมีการตั้งคำถาม “ผู้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ควรมีส่วนรับผิดชอบต่อสังคมบ้างหรือไม่?” ซึ่งประเด็นหนึ่งคือแม้ปัจจุบัน พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 29 (2) จะระบุว่า“ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับบุคคลที่มีอาการมึนเมาจนครองสติไม่ได้” แต่กฎหมายข้อนี้ “ในทางปฏิบัติไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง เพราะยังไม่มีการให้นิยามที่ชัดเจนของถ้อยคำดังกล่าว” จึงเป็นเรื่องของดุลพินิจของแต่ละคน แน่นอนว่า “คนดื่มส่วนใหญ่มักเชื่อว่าตนเองยังไม่เมา” ส่วนร้านค้าก็ไม่รู้ว่าจะทำความเข้าใจกับคนซื้ออย่างไร
นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ให้ความเห็นในประเด็นนี้ว่า กระทรวงสาธารณสุข ควรไปออกหลักนิยามให้ชัดเจนกรณีกฎหมายระบุว่าห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผู้ที่เมาจนครองสติไม่ได้ เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยมีการเอาผิดเรื่องนี้เนื่องจากไม่มีนิยามชัดเจน ต่างจากคดีเมาแล้วขับขี่ยานพาหนะที่วัดจากปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกาย ซึ่งกฎหมายระบุชัดเจนแล้วว่าหากมีปริมาณเกินเท่าไรให้ถือว่าเมา
“คุณต้องไปกำหนดว่าอะไรคือเมาแล้วครองสติไม่อยู่ อย่างบนท้องถนนเมื่อก่อนกฎหมายบอกเมาแล้วห้ามเมาขับรถ ตำรวจจับก็บอกว่าไม่เมา ก็ต้องไปออกกฎหมาย
50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ขึ้นแปลว่าเมา ไม่ต้องมาเถียงกัน ก็เสนอไปว่าคุณต้องไปกำหนดว่าระดับเท่าไรหรืออาการอย่างไร ถ้าใครขายให้ก็มีโทษ...เลย” นพ.แท้จริง กล่าว
อนึ่ง เรื่องราวจากงานเสวนาข้างต้น กรณีข้อเสนอร้านค้าต้องร่วมรับผิดชอบด้วยเพราะจำหน่ายสินค้าที่ส่งผลกระทบต่อสังคม แม้จะมีจุดมุ่งหมายที่ดี แต่อีกด้านหนึ่งยังมีปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงต่อไป คือกรณีกำหนดเป็นค่าตัวเลขซึ่งผู้คนเข้าใจได้และยอมรับตรงกันดังตัวอย่างของมาตรการลดความเสี่ยงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่หากอุณหภูมิสูงถึง 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไปจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในสถานที่หรือร่วมกิจกรรมต่างๆ
แต่เมื่อไปดูราคาอุปกรณ์ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์แบบที่เป่าลมหายใจซึ่งหน่วยงานของรัฐ (เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) ใช้งาน พบว่ามีราคาหลักหมื่นบาทต่อเครื่อง อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายต้องสอบเทียบมาตรฐานทุกๆ 6 เดือน เห็นได้ชัดว่าราคาแพงกว่าเครื่องวัดอุณหภูมิที่มีราคาเฉลี่ยเพียงหลักพันบาทเท่านั้น คำถามคือ “รัฐควรช่วยอุดหนุนค่าใช้จ่ายส่วนนี้บ้างหรือไม่?” อย่างน้อยก็ในช่วงแรกๆ ที่เป็นระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน
เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการให้ความร่วมมือโดยเร็ว!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี