“ข่าวลือ-ข่าวลวง (Fake News)” ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ “สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส) ไม่อาจแก้ไขได้โดยง่าย” ในอดีตข่าวลือ-ข่าวลวงอาจเริ่มที่โต๊ะน้ำชา ก่อนแพร่กระจายไกลจนไม่อาจสืบสาวที่มาได้ แต่ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น ข้อมูลข่าวสารจึงไปไวยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง ซึ่ง มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ(มสช.) จึงร่วมทำงานในประเด็น “เยาวชน 3 จังหวัดชายแดนใต้กับสงครามจิตวิทยาข่าวลวง (Fake News) ในพื้นที่” กับภาคีเครือข่าย เพื่อหาทางลดความรุนแรงของปัญหาลง
รอฮานี ดาโอ๊ะ นักวิจัยสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (วิทยาเขตปัตตานี) เล่าว่า จากการทำงานเรื่องการใช้สื่อออนไลน์ของเยาวชนภาคใต้ พบทั้งความเหมือนและแตกต่างจากเยาวชนในพื้นที่อื่นๆ โดยสิ่งที่เหมือนกันคือการใช้สื่อมากเกินไป ส่วนปัญหาที่เป็นลักษณะเฉพาะคือ 1.การขาดข้อมูลองค์ความรู้เกี่ยวกับเรื่องของสื่อออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของข่าวลวง ข่าวปลอมโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ
และ 2.ชุดข้อมูลองค์ความรู้เกี่ยวกับการใช้สื่อออนไลน์ ที่มีอยู่ไม่เหมาะสม ไม่สอดคล้องกับบริบท วิถีวัฒนธรรม ของเยาวชนและคนในพื้นที่ จึงคิดว่าต้องร่วมกันปรับปรุงแก้ไข เน้นการผลิตสื่อใหม่ให้สอดคล้องกับปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าในพื้นที่ 3 จังหวัด ปัตตานี ยะลา นราธิวาส เป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างมีความเปราะบาง และเยาวชนอาจจะเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก ในการชักจูงไปสู่ความคิดหรือปัญหาความแตกแยกเกิดขึ้นได้
“ความน่ากลัวของ Fake News คือ หากเด็กรับมาแล้ว พอเข้าไปร่วมก็ยากที่จะดึงกลับมา เหมือนกับขี่หลังเสือแล้วถึงอยากจะลงมาแต่ก็ลงมาไม่ได้ กลุ่มที่น่าเป็นห่วง คือนักเรียนที่เริ่มเรียนชั้นมัธยมศึกษา เพราะต้องไปเรียนในสถานที่ไกลหูไกลตาพ่อแม่ มีการรวม กลุ่มกับเพื่อนๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าแต่ละกลุ่มเป็นอย่างไร ทางแก้จึงต้องออกแบบการศึกษา ออกแบบกิจกรรม ให้เด็กได้เชื่อมต่อกับครอบครัว กับชุมชน หากตรงนี้เหนียวแน่น สิ่งต่างๆ ภายนอกอาจจะไม่มีอิทธิพลกับเด็กมากนัก แต่ถ้าแยกเด็กออกไปโดยไม่ได้เข้าไปเชื่อมอะไรเลย ปล่อยโดยคิดว่าไม่มีอะไร ไม่จัดการอะไรเลยก็ยิ่งมีความเสี่ยง” รอฮานี กล่าว
อย่างไรก็ตาม รอฮานี ยังกล่าวถึง “ท่าทีของภาครัฐที่เอื้อต่อการระบาดของข่าวลวง” นั่นคือ“ระบบการคิดที่แข็งกร้าว น้อยมากที่ระดับสั่งการจะมีความเข้าใจในพื้นที่ และใช้ความประนีประนอมกับคนที่คิดต่าง” จึงทำให้เกิดการต่อต้านขึ้น ตรงจุดนี้จึงทำให้ง่ายในการที่จะระดมทำข่าวปลอม “เพราะว่าคนเจ็บปวด และพร้อมที่จะเอนเอียงไปในส่วนที่คิดว่าจะทำอย่างไร จึงจะสามารถหลุดพ้นจากความเจ็บปวดได้” ส่วนการดำเนินงานเพื่อแก้ปัญหาเริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่ต้นปี 2563 โดยเป็นความร่วมมือระหว่างสถานศึกษา ทั้งสามัญ เอกชน โรงเรียนสอนศาสนา มหาวิทยาลัย
ภาคประชาสังคม สื่อท้องถิ่น และ มสช. ผ่านโครงการอบรมให้ความรู้การใช้สื่อออนไลน์กับเด็กและเยาวชนในพื้นที่ โดยมีกิจกรรมประกวดสุนทรพจน์3 ภาษา คือ ไทย มลายู และอังกฤษ รวมถึงการจัดหาวิทยากร ผู้ใหญ่ในพื้นที่ เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด มาให้ข้อมูลความรู้ว่าเราจะมีการเชื่อมโยงกันอย่างไร โดยเฉพาะประเด็นข่าวลือ-ข่าวลวง
พร้อมทั้งเชิญตัวแทนเนตไอดอล อินฟลูเอนเซอร์หรือตัวแทนยูทูบเบอร์ในภาคใต้ มาพูดให้แรงบันดาลใจการใช้ประโยชน์จากสื่อออนไลน์แก่เยาวชน รวมถึงนำผลงานจากกิจกรรมไปต่อยอด เช่น นำสุนทรพจน์ มาจัดทำเป็นคลิปวีดีโอสั้น เพื่อเผยแพร่ต่อทางยูทูบและมอบให้ โรงเรียน วิทยุท้องถิ่น นำไปเปิดเสียงตามสาย รวมถึงการคัดเอาประโยคทอง ในสุนทรพจน์และผู้เข้าร่วมกิจกรรมไปเผยแพร่ต่อเป็นไวรัลในโซเชียลมีเดีย พร้อมติดแฮชแท็ก เป็นต้น
“จากการประเมินผล พบว่า 90 กว่าเปอร์เซ็นต์พอใจมาก เยาวชนและประชาชนในพื้นที่ อยากให้มีโครงการลักษณะนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีถัดไป เพราะเป็นพื้นที่กลางเปิดให้คนมาร่วมแลกเปลี่ยน และเสริมทักษะความรู้เกี่ยวกับการใช้สื่อออนไลน์ ยังเป็นตัวกลางในการเชื่อมหน่วยงานทุกภาคส่วนไม่ว่าจะรัฐ ประชาสังคม ภาคธุรกิจ และอื่นๆ ประเด็นสำคัญคือผลจากตรงนี้ทำให้เกิดการส่งต่อ เช่น น้องๆนำไปโพสต์ลงสื่อออนไลน์ จาก 1 คน ไป 100 คนและขยายออกไปเรื่อยๆ กลายเป็นต้นกล้า ที่ในอนาคตจะสามารถขยายไปยังพื้นที่อื่นได้ด้วย” รอฮานี ระบุ
ด้าน จิคัยดีล เจะและ ยูทูบเบอร์คนดัง Deen Vlog จาก จ.นราธิวาส เล่าว่า ข่าวลือ-ข่าวลวงความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ มีตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็กจนปัจจุบันสถานการณ์หนักขึ้นเรื่อยๆ โดยมักมีการปล่อยข่าวว่าชาวมุสลิมไปเผาวัดที่มาเลเซียบ้าง ไปยิงชาวพุทธบ้าง หรือชาวพุทธมายิงชาวมุสลิมบ้าง ซึ่งก่อให้เกิดความเกลียดชังที่ไม่ใช่แค่ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ แต่เป็นความบาดหมางระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิม “ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเลย แต่มีคนบางกลุ่มพยายามทำให้คนในพื้นที่หวาดกลัวซึ่งกันและกัน” ส่งผลกระทบต่อการดำเนินวิถีชีวิตและเศรษฐกิจ
“ผมยืนยันว่าเราโตมาในพื้นที่มันไม่มีอะไร เราอยู่กันแบบปกติสุขทั้ง 3 ศาสนา พุทธ อิสลาม คริสเตียน ดังนั้น ถ้า Fake News ยังไม่หมด เศรษฐกิจรายได้ของชาวบ้านใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ก็จะไม่ดีขึ้น สิ่งหนึ่งที่ทำได้ คือการป้อนข้อมูลด้านดี ด้านที่เป็นจริงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ผ่านการทำช่องยูทูบให้คนไทยและคนทั่วโลกได้เห็น โดยเนื้อหาของ Deen Vlog ไม่ได้แตะเรื่องความบาดหมางแต่อาศัยการใส่ข้อมูลน้ำดีลงไปซึ่งช่วยได้มาก”จิคัยดีล กล่าว
ขณะที่ พงศ์ธร จันทรัศมี ผู้จัดการโครงการฯมสช. กล่าวว่า ที่ มสช.หยิบประเด็นนี้ขึ้นมาพัฒนา และชวนภาคีเครือข่ายในพื้นที่มาทำงานร่วมกัน เพราะนอกจากความตั้งใจของกลุ่มที่สร้าง Fake News เพื่อหลอกลวงล่อลวงในเชิงมิติของสุขภาพ และขยายผลไปสู่การสร้างความแตกตื่นแตกแยก โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีเรื่องความมั่นคงเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าการแพร่กระจายของ Fake News ที่รวดเร็วรุนแรง ส่วนหนึ่งมาจากการรู้ไม่เท่าทันด้วย เพราะเยาวชนมักส่งต่อข้อมูลจากคนที่ชอบ โดยไม่ได้พิจารณาในเรื่องความถูกต้องของข้อมูล
“อยากให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตระหนักในเรื่องนี้อย่างจริงจัง ซึ่ง มสช.พยายามจะคลี่ภาพปัญหา และเชื่อมให้หน่วยงานเข้ามาร่วมแก้ไขอย่างเป็นระบบ โดยเน้นการพัฒนาความเข้มแข็งของกลไกในพื้นที่ เพื่อให้เกิดการต่อยอด ขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ กลายเป็นเครือข่ายปกป้องเยาวชนจากภัยออนไลน์ทั่วประเทศได้อย่างยั่งยืน” ผู้จัดการโครงการฯ มสช. กล่าวในท้ายที่สุด
มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี