“Pandemic dims lights on Thailand’s $5bn nightlife sector” เป็นพาดหัวข่าวของสื่อญี่ปุ่นเจ้าดังอย่าง นสพ. Nikkei Asian Review ที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2563 อันเป็นช่วงที่ประเทศไทยใช้มาตรการปิดสถานที่ต่างๆ เกือบทั้งหมดเหลือไว้เพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อสกัดการระบาดของไวรัสโควิด-19 และสื่อแดนอาทิตย์อุทัยเลือกให้ความสนใจไปที่ “สถานบันเทิงยามราตรี” ที่ระบุว่าสร้างมูลค่าให้เศรษฐกิจไทยถึง 5.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.8 แสนล้านบาทต่อปี ในฐานะภาคส่วนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากมาตรการนี้
สื่อญี่ปุ่นเจ้าเดิม ยังอ้างถึงรายงานของสำนักข่าว CNN สหรัฐอเมริกา ที่ยกให้กรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทยเป็นดินแดนที่โดดเด่นด้านการเฉลิมฉลองสังสรรค์ไม่แพ้เมืองลาสเวกัส ในสหรัฐฯ บรรดาไนท์คลับและบาร์สุดหรูบนดาดฟ้าโรงแรมถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง สิ่งเหล่านี้ดึงดูดเงินตราจากต่างประเทศ จนกลายเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวของไทยที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดัน 4 ของโลก ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติไปเยือนไทยมากกว่าญี่ปุ่นเสียอีกต่างหาก
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า “เสียงคนกลางคืนจะไม่ค่อยถูกได้ยินนัก” และไม่ได้รับการเหลียวแลเท่าที่ควร ดังที่ ชัชลาวัณย์ เมืองจันทร์ ผู้แทนมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ (Empower Foundation) ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาสังคม (NGO) ที่รณรงค์เรื่องสิทธิของผู้ขายบริการทางเพศและพนักงานในสถานบันเทิง ให้ความเห็นในงานเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนต้องได้รับวัคซีน (ที่มีคุณภาพ)” เมื่อช่วงเย็นวันที่ 30 เม.ย. 2564 ที่ผ่านมา
ชัชลาวัณย์ กล่าวว่า “สถานบันเทิง เช่น ผับ บาร์ คาราโอเกะ อาบอบนวด เป็นกลุ่มแรกที่ถูกสั่งปิดตามมาตรการควบคุมโรคระบาดมาตั้งแต่การระบาดระลอกแรก และเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ได้กลับมาเปิด” แน่นอนว่าผลกระทบคือคนทำงานในภาคส่วนนี้ต้องตกงานขาดรายได้ ซึ่งเมื่อรวมการระบาดทั้ง 3 ระลอก ระลอก 1 นำเงินเก่ามาใช้ ระลอก 2 ต้องกู้หนี้ยืมสิน และระลอก 3 คือไม่มีเงินใช้หนี้แล้ว
“พนักงานบริการถ้า 100% นะ 80% เป็นผู้หญิงซึ่งใน 80% นั้นถ้ามี 8 คน 7 คนก็คือเป็นคนที่มีลูก มีคนที่ต้องดูแลครอบครัวคนข้างหลัง ดังนั้นการที่พนักงานบริการตกงาน 1 คน มันไม่ได้แปลว่าเดือดร้อนแค่คนเดียว มันเดือดร้อนคนข้างหลังที่เราต้องดูแลเขาไปอีกอย่างน้อย 4-5 คน เพราะเรามาทำงานเราก็ส่งเงินให้ที่บ้าน เราคาดรายได้ไปคนหนึ่งที่บ้านก็คือต้องเดือดร้อนไปด้วย” ชัชลาวัณย์ กล่าว
ชัชลาวัณย์ กล่าวต่อไปว่า หากเป็นแรงงานในระบบประกันสังคม จะมีมาตรการเยียวยากรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัย แต่แรงงานกลุ่มสถานบริการนั้นมีเพียงร้อยละ 30 ที่อยู่ในระบบประกันสังคม ส่วนอีกร้อยละ 70 ไม่อยู่ในระบบประกันสั่งคม เนื่องจากลักษณะงานนั้นจะได้เงินเป็นรายครั้งหรือรายวัน นายจ้างจึงไม่ทำเรื่องขึ้นทะเบียนประกันสังคมให้แรงงาน ทำให้แรงงานกลุ่มสถานบริการเข้าไม่ถึงมาตรการเยียวยา ทำให้ต้องไปเข้าช่องทางอื่นๆ ที่ต้องไปลงทะเบียนทางอินเตอร์เนตซึ่งเป็นข้อจำกัดสำหรับคนที่ไม่ถนัดในการใช้เทคโนโลยี
อนึ่ง มาตรการเยียวยาการระบาดระลอกแรก หรือโครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” จ่ายเงินชดเชยเดือนละ 5,000 บาทเป็นเวลา 3 เดือน ส่วนมาตรการเยียวยาการระบาดระลอก 2 ที่รัฐบาลมีโครงการ “เราชนะ” จ่ายเงินชดเชยเดือนละ 3,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน แต่ในการระบาดระลอก 3 ซึ่งเป็นระลอกล่าสุดนี้ ยังไม่พบว่ารัฐบาลมีมาตรการเยียวยาอะไรออกมา แต่สิ่งที่ไม่เคยเห็นเลยในการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้ง 3 ระลอก คือมาตรการเยียวยาจากนายจ้าง เช่น คนที่ทำงานอาบอบนวด 3 ปีบ้าง 10 ปีบ้าง เมื่อปิดร้านก็จบกันไม่เจอกับนายจ้างอีก
“ผู้ประกอบการเองเราไม่เห็นว่าเขาจะออกมาช่วยเหลือหรือดูแลอะไรลูกจ้างที่ทำงานกับเขา ที่เราเคยทำให้เขาได้ร่ำรวย อันนี้มีหนึ่งสิ่งที่พวกเราก็ตั้งข้อสังเกต ทำไมเราไม่เคยได้จากคนกลุ่มนี้เลย สิ่งที่เราได้ยินจากนายจ้างก็จะกลายเป็นว่าคุณก็ต้องเห็นใจผมนะ ผมก็ต้องแบกรับภาระ ซึ่งเราก็มองว่าในช่วงที่คุณรวยกับเราคุณได้ไปเท่าไรแล้ว อันนี้ก็คือการตั้งคำถามของกลุ่มเราเหมือนกัน คือทั้ง 3 ส่วนมันบอบช้ำกันหมดเลย ทั้งการประกันสังคมก็เข้าไม่ถึง รัฐเองก็เหมือนชิงโชค เราต้องเสี่ยงต้องลุ้นกับการลงมือถือมากกว่าจะได้แต่ละครั้ง ส่วนร้านก็ไม่เคยได้” ชัชลาวัณย์ ระบุ
ข้อสังเกตอีกประการหนึ่ง ชัชลาวัณย์ มองว่า หากนับจากการระบาดระลอกแรกก็ผ่านไปแล้วกว่า 1 ปีเศษ แต่รัฐบาลกลับไม่มีแผนหรือมาตรการรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งที่แรงงานเป็นคนทำงานหาเลี้ยงครอบครัวตนเองและหารายได้สร้างเศรษฐกิจของประเทศ ซ้ำร้ายยังถูกซ้ำเติมด้วยกฎหมาย เช่น พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 ที่กำหนดให้ “การขายบริการทางเพศเป็นอาชีพผิดกฎหมาย” ต้องถูกจับกุมดำเนินคดี
ซึ่งเมื่อสถานบริการถูกสั่งปิดแล้วหลายคนเลือกออกไปหารายได้ด้วยวิธีนี้โดยใช้ช่องทางออนไลน์ ก็พบข่าวเจ้าหน้าที่ทำการ “ล่อซื้อ” อยู่เนืองๆ ตามมาด้วย “คำถามจากประชาชน” ที่แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ ที่แชร์ข่าวทำนองนี้ ว่า “มันจำเป็นเพียงใดที่เจ้าหน้าที่จะต้องมาเอาจริงเอาจังกับคนที่ต้องทำมาหากิน?” ทั้งที่คนเหล่านี้อยู่ในสภาพหลังชนฝาแล้ว
ขณะเดียวกัน “เมื่อเกิดสถานการณ์โรคระบาดขึ้น เป็นเรื่องง่ายที่สังคมจะโยนบาปให้พนักงานในสถานบริการเป็นคนผิดในฐานะผู้แพร่เชื้อ ทั้งที่ยังไม่มีผลสรุปค้นพบได้ว่าผู้ที่แพร่เชื้อคนแรกก่อนจะลุกลามใหญ่โตนั้นเป็นพนักงานหรือเป็นลูกค้าที่มาใช้บริการกันแน่” ชะตากรรมของคนทำงานสถานบริการราวกับจะถูกกระหน่ำโจมตีจากทุกด้านทุกทาง ทั้งที่จริงๆ แล้วคนทำงานภาคบริการก็กลัวติดโรคไม่ต่างจากคนอื่นๆ ในสังคม เพราะหากเจ็บป่วยขึ้นมาก็จะเดือดร้อนคนอื่นๆ ไปด้วย
เมื่อถามถึง “ความคาดหวังต่อรัฐในกลุ่มคนทำงานสถานบริการ” ผู้แทนมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ เล่าว่า เคยได้รับคำถามสวนกลับมา “ยังจะหวังกับรัฐอีกหรือ?” หรือก็คือแทบจะสิ้นหวังกับรัฐบาลชุดนี้ไปแล้ว แม้กระทั่งเรื่องของ “วัคซีน” ที่เป้นความหวังเดียวในการทำให้วิกฤติโรคระบาดคลี่คลายลง แต่หลายคนก็ไม่เชื่อมั่นในวัคซีน เพราะรัฐยังไม่สร้างความเชื่อมั่นว่า หากฉีดวัคซีนแล้วเกิดผลข้างเคียงจะดูแลอย่างไร
ทั้งนี้เชื่อว่า “คนทำงานในสถานบริการน่าจะถูกกำหนดให้เป็นกลุ่มเสี่ยง ต้องได้รับการฉีดวัคซีนก่อนจึงจะได้รับอนุญาตให้กลับมาทำงานได้ แต่หากรัฐจะออกคำสั่งดังกล่าว ประชาชนก็มีสิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการฉีดวัคซีนเช่นกัน” ซึ่งการฉีดวัคซีนหมายถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจฟื้นฟูจากการได้กลับไปทำงานหาเลี้ยงตนเอง อันเป็นความหวังในชีวิตของทุกคน
“ถ้าเราได้วัคซีนเป็นภูมิคุ้มกันหมู่ได้เราก็น่าจะรอดไปด้วยกัน” ชัชลาวัณย์ กล่าวในท้ายที่สุด
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี