ขณะนี้เกิดกระแสคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการรายย่อย คนทำงาน รวมไปถึงนักเรียน นักศึกษาที่เข้ามาจับกลุ่มแสดงความเห็นและหาช่องทางในการย้ายไปอยู่ต่างประเทศ จึงมีคนตั้งคำถามว่าเป็นเรื่องแปลกไหม เราจะเข้าใจเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร
ไม่แปลกครับ และไม่คิดว่าเป็นการประชดประชันของคนรุ่นใหม่ที่แสดงออกจากอารมณ์ความรู้สึก สภาพการณ์ของประเทศไทยในขณะนี้อาจส่งผลให้เกิดความคิดเช่นนี้ ต่อไปนี้คือปัจจัยที่อาจส่งผลต่อความคิดของคนรุ่นใหม่
1.คนรุ่นใหม่เกิดในยุคสังคมไร้พรมแดนการเดินทางไปมาหาสู่ เทคโนโลยีการสื่อสารติดต่อ ข้ามและรอดรัฐ วัฒนธรรมการกิน การอยู่และความคิด ถูกถ่ายทอดหลอมรวม ผสมผสานกันมากขึ้น จะอยู่ที่ใดก็มีความรู้สึกไม่แปลกแตกต่างกันมาก เหมือนคนสมัยก่อน
2.คนรุ่นใหม่เกิดและเติบโตในสังคมไทยที่แตกแยก ขาดศูนย์รวมใจ ที่สำคัญคือขาดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการบริหารประเทศมาเป็นเวลานาน บ้านเมืองมีสภาวะผูกขาดอำนาจ มีชนชั้นและระบบอุปถัมภ์สูง ความรู้สึกผูกพันและความรู้สึกเป็นเจ้าของประเทศลดน้อยถอยลง
3.คนไทยโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เกิดความไม่มั่นใจในการบริหารจัดการประเทศของรัฐบาล โดยเฉพาะในภาวะที่เกิดโรคระบาดอุบัติใหม่ ที่กำลังถาโถมร้อนแรง คุกคามชีวิต การบริหารจัดการวัคซีนดูจะมีปัญหา ผูกขาดไม่ให้ภาคส่วนอื่นมีส่วนร่วมอย่างเพียงพอ ไม่สร้างความมั่นใจ เหมือนหลายประเทศที่ในขณะนี้สามารถบริหารจัดการจนควบคุม โรคระบาดให้สงบลงได้
4.คนจำนวนมากได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ จากปัญหาโควิด การบริหารเศรษฐกิจดูจะชะงักงัน ศักยภาพของประเทศในการพัฒนาแข่งขันดูไม่สดใส มองไม่เห็นช่องทางในการทำมาหากิน เรียนจบแล้วจะประกอบอาชีพอะไร รายได้จะเพียงพอหรือไม่ ที่สำคัญคือเมื่อเทียบรายได้จะได้จากการทำงานในต่างประเทศ
5.คนรุ่นใหม่เกิดความรู้สึกว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยมีการเลือกปฏิบัติ คนประเภทหนึ่ง คนชนชั้นหนึ่งไม่ได้รับความเป็นธรรม
6.ระบบการศึกษาของประเทศล้าหลังอนาคตของลูกที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะให้การศึกษาอย่างไร
7.ประเทศที่คนรุ่นใหม่สนใจและมีโอกาสสูงในการย้ายไปหางานทำ ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ นิวซีแลนด์ อเมริกา แคนาดาและในยุโรป ต่างเป็นประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงวัยกล่าวคือมีสัดส่วนผู้สูงอายุจำนวนมากมีคนทำงานน้อย ประเทศเหล่านี้ขาดแคลนคนทำงานจริงสนใจที่จะอ้าแขนรับและดึงดูดคนดีมีฝีมือให้เข้าไปทำงานและสามารถโอนสัญชาติได้ในระยะยาว
8.คนรุ่นก่อนสมัยที่ไปเรียนหนังสือหรือไปทำงานในต่างประเทศ อาจไปทำงานที่ยากลำบาก ต้องหลบซ่อนถูกดูถูกเหยียดหยาม จึงมักจะคิดและเข้าใจว่าการไปอยู่ต่างประเทศไม่สะดวกสบาย แต่ปัจจุบันสภาพการเปลี่ยนประเทศเหล่านี้ต้องการคนทำงานต่างชาติ พร้อมจะให้รายได้สูงกับคนมีความรู้ความสามารถ
9.อย่างไรก็ตาม คนรุ่นใหม่ที่จะสามารถเปลี่ยนย้ายประเทศได้ จะต้องเป็นผู้มีความสามารถ มีสถานภาพที่ดีระดับหัวกะทิ ซึ่งก็คงจะมิใช่ผู้ที่ปรารถนาทุกคนจะไปได้ แต่ก็น่าเป็นห่วงที่ประเทศไทยจะสูญเสียและถูกคัดหัวกะทิของประเทศไป
10.คงเป็นเรื่องไม่เกินความจริงที่จะกล่าวว่า อีกไม่เกิน 20 ปีประเทศไทยจะเต็มไปด้วยคนชรา เพราะสัดส่วนประชากรของไทยจะมีผู้สูงอายุมากถึงหนึ่งในสามของคนทั้งประเทศ สัดส่วนคนวัยทำงานซึ่งมีน้อยจะยิ่งน้อยลงจากการอพยพข้ามพรมแดนไปทำงานตั้งถิ่นฐานในต่างประเทศ เด็กเกิดใหม่น้อยลง และส่วนมากเกิดจาก “คนท้องที่ไม่พร้อม ส่วนคนที่พร้อมไม่ท้อง” คนทำงานในอนาคตจะมีปัญหาขาดแคลนทั้งจำนวนและคุณภาพ ใครจะจ่ายภาษีระบบสวัสดิการจะเป็นอย่างไร
11.ในอดีตการย้ายถิ่นฐานย้ายประเทศก็เคยเกิดมามากแล้วแม้ขณะนั้นการโยกย้ายจะลำบาก ยุ่งยากมากกว่าในปัจจุบันดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับคนจีน คนฮ่องกง คนฟิลิปปินส์ คนพม่าที่หนีอำนาจผลิตการทหาร แม้แต่คนไทยที่อพยพไปอยู่ต่างประเทศหลังเวียดนามแตก และคนไทยที่หนีอำนาจรัฐหลังเหตุการณ์เดือนตุลาปี 2519 ก็เคยเกิดมาแล้ว ดังนั้นอาการที่ปรากฏสังคมจึงควรได้ใส่ใจ
ผมเกิดและเติบโตในต่างจังหวัด เคยศึกษาและทำงานโครงการพัฒนาชนบท ได้เคยเห็นและรับรู้ปรากฏการณ์ที่สมองไหลออกจากชุมชนหมู่บ้านต่างจังหวัดเข้ากรุงเทพมหานคร คนเล่านี้อยู่ในหมู่บ้านชนบทก็พบกับผู้ปกครองและระบบอุปถัมภ์ ระบบการศึกษาก็ยัดเหยียดไม่สอดคล้องกับท้องถิ่นจึงมองไม่เห็นอนาคตที่ดีของตนในท้องถิ่น ขวนขวายเข้ามาหางานทำในกรุงเทพเพราะมีรายได้และโอกาสที่ดีกว่า บางคนก็เข้ามาเรียนหนังสือเพราะได้รับการศึกษาและโอกาสที่ดีกว่า จบแล้วก็ยิ่งรู้จักบ้านตัวเองน้อยลงเลยหางานทำ ในเมือง เพราะได้รายได้และโอกาสดีกว่า มีครอบครัวตั้งถิ่นฐานในกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่ต่อไป
ชุมชนและหมู่บ้านจึงถูกดูดทรัพยากรออกจากชนบท ที่สำคัญก็คือคนที่มีความรู้มีความสามารถ หรือที่เรียกว่าสมองไหลออกจากชนบท ทุกวันนี้สังคมไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยเมื่อชุมชนและหมู่บ้านขาดคนวัยทำงานก็จะเหลือแต่คนแก่และเด็ก กลายเป็น “สังคมแหว่งกลาง” คือขาดคนในวัยตรงกลางที่จะเชื่อมต่อ พัฒนาบ้านของตน
ถ้าคนวัยทำงานที่เป็นระดับสมอง หัวกะทิของไทยถูกผลักออกไปเพราะระบบยุติธรรม การบริหารแบบอำนาจรวมศูนย์หรือมองไม่เห็นช่องทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันถูกดึงและดูดให้ไปทำงานต่างประเทศ
“สังคมแหว่งกลาง” ของประเทศไทยจะส่งผลอย่างไร
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี