ผ่านมาแล้วหนึ่งปีเศษกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งขณะนี้ความหวังอยู่ที่การระดมฉีดวัคซีนโดยหวังว่าจะทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) ที่เมื่อคนส่วนใหญ่ในสังคมมีภูมิต้านทานแล้วเชื้อร้ายจะลดการระบาดลง แต่วัคซีนก็เหมือนกับข้อมูลข่าวสารเรื่องอื่นๆ ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ที่มีทั้งข่าวปลอมและข่าวที่เข้าใจคลาดเคลื่อน ส่งผลต่อมาตรการควบคุมโรคระบาดเพราะประชาชนลังเล
ไม่เชื่อมั่น
เมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง“เมื่อข้อมูลวัคซีนเป็นเรื่องสาธารณะ แต่เราควรเชื่อใครดี” โดยภาคีโคแฟค (COFACT) ประเทศไทย ร่วมกับเครือข่ายหลากหลายองค์กร ซึ่ง พีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท กล่าวว่า “ความท้าทายของคนทำงานสื่อคือการสื่อสารเรื่องยากให้เข้าใจง่ายและถูกต้อง” และต้องตระหนักว่าสื่อนั้นมีผลต่อแรงกระเพื่อมทางสังคม การเสนอข่าวเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 จึงต้องทำการบ้านมากขึ้น คาดการณ์ผลกระทบจากข่าวที่รายงานออกไปให้มากขึ้น
“ยังมีความยากอีกข้างหนึ่งของสื่อนั่นคือการแข่งขันทางธุรกิจ จะทำอย่างไรที่จะสื่อสารไม่ผิดแต่คนก็เข้ามาอ่านแล้วนำไปสู่การขับเคลื่อนในเชิงธุรกิจให้กับสื่อนั้นอยู่ได้ด้วย ก็จะเป็นอีกข้างหนึ่งของความยากที่สื่อเองก็ต้องแบกรับอยู่เหมือนกัน ดังนั้นถ้าพูดในมุมคุยกับสื่อเหมือนคุยกับเพื่อนสื่อด้วยกัน ในเวลาที่เรื่องของวัคซีนมันมีความสำคัญ ถ้าคุยกับมุมเพื่อนสื่อด้วยกันเราอยากให้เพื่อนสื่อทำการบ้านมากๆ และทำความเข้าใจหลายๆ อย่างมากๆ และเตรียมตัวเพื่อรับกับคลื่นของ Infodemic (การระบาดของข้อมูล) อีกลูกหนึ่ง
มันจะเป็น Infodemic เรื่องวัคซีนเข้ามามากมายเลย แล้วต้องรับรู้ด้วยว่าการทำพลาดไป 1 ครั้งมันย่อมส่งผลกระทบทั้งต่อตัวสื่อเอง แล้วก็ต่อประชาชน ต่อสังคมด้วย ทำให้ประชาชนกลุ่มหนึ่งตัดสินใจไม่ไปฉีดวัคซีน สมมุตินะ มันก็ย่อมส่งผลกระทบอะไรบางอย่างกับชุมชนของกลุ่มนั้น คือบางทีสื่อของเราพาดหัวข่าวแล้วทำให้หมู่บ้านหนึ่งไม่ฉีดวัคซีนทั้งหมู่บ้านและปฏิเสธการรับวัคซีน ทั้งๆ ที่ถึงคิวแล้วและไม่สามารถรับได้ แล้วคนจะให้ไปรับก็ไม่ยอมรับวัคซีน มันย่อมส่งผลกระทบอะไรบางอย่างกับสังคมในภาพรวมด้วย” พีรพล ยกตัวอย่าง
ขณะที่ สถาพร อารักษ์วทนะ รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ในมุมผู้บริโภคการรับข้อมูลข่าวสารต้องตรวจสอบกันพอสมควรเพราะไม่รู้ว่าแหล่งข้อมูลใดเชื่อถือได้ โดยมีหลายเหตุการณ์ เช่น ในขณะที่การลงทะเบียนจองคิวฉีดวัคซีนโควิด-19 ด้านหนึ่งมีการประชาสัมพันธ์ให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่นหมอพร้อม แต่ที่ จ.ภูเก็ต หน่วยงานระดับจังหวัดกลับบอกว่าผู้ที่ในอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่นภูเก็ตต้องชนะ
หรือมีการส่งต่อข้อมูลทางแอปพลิเคชั่นไลน์ บอกว่าให้เข้าไปลงทะเบียนฉีดวัคซีน แต่เมื่อกรอกข้อมูลไปแล้วกลับมีการโทรศัพท์มาโฆษณาขายบัตรเครดิตและขอเลขประจำตัวประชาชน หรือมีการส่งต่อภาพและคลิปวีดีโอ อ้างว่ามีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เสียชีวิตที่ปั๊มน้ำมันซึ่งอยู่ใกล้โรงพยาบาล แต่เมื่อไปสอบถามทางโรงพยาบาลก็ได้คำตอบว่าไม่เคยได้ยินข่าวนี้มาก่อนและไม่มีญาติของผู้ตายเข้ามาแจ้งแต่อย่างใด
รวมถึงพนักงานปั๊มน้ำมันที่ถูกกล่าวอ้างก็ยืนยันว่าปั๊มแห่งนั้นไม่มีเหตุการณ์ตามที่ส่งต่อข้อมูลเกิดขึ้นเช่นกันที่น่าสนใจคือ “คนส่งข้อมูลมาก็ทำงานอยู่ในกระทรวงสาธารณสุข” ซึ่งในมุมของประชาชนผู้บริโภค ย่อมจะเข้าใจว่าทำงานอยู่ที่นี่ข้อมูลน่าจะเชื่อถือได้ ทำให้ยังเป็นคำถามว่าแล้ว “สุดท้ายผู้เสพสื่อหรือประชาชนจะเชื่อถือใครได้บ้าง” ในภาวะวิกฤติแบบนี้
“ทุกๆ คนในทุกวันนี้เป็นคนที่สามารถที่จะเป็นสื่อทุกคนเป็นสื่อทุกคนปล่อยข่าวทุกคนให้ข่าว เสร็จแล้วมันเกิดผลกระทบในวงกว้าง แล้วหน่วยงานไหนที่จะต้องเข้ามาจัดการข้อมูล เชื่อมโยงข้อมูล เผยแพร่ข้อมูล แล้วเราจะรองรับกับสถานการณ์วิกฤติจริงๆ แบบนี้ได้อย่างไร สุดท้ายอยากให้ทุกคนที่เป็นคนแชร์เรื่องราวต่างๆ ตระหนักถึงความรับผิดชอบ ตระหนักถึงสิ่งที่ได้แชร์ออกไป เรื่องนี้ค่อนข้างที่จะสำคัญมาก” รอง ผอ.มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าว
ด้าน สายใจ เลี้ยงพันธุ์สกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลดิจิทัลเพื่อสังคม เริ่มต้นด้วยคำถามที่ว่า “ในสถานการณ์ที่มีข้อมูล้นแบบนี้จะเชื่อใครดี” ซึ่งก็มีทั้งนักการเมือง สื่อมวลชนและแพทย์ที่ให้ข้อมูล โดยอยากให้เปลี่ยนคำถามเป็น “จะมีเครื่องมือกรองข้อมูลที่ได้รับอย่างไร” ประชาชนไม่ควรไปมองหาว่าใครที่เชื่อถือได้ แต่ควรหาเครื่องมือคัดกรองข้อมูลที่ได้รับจากบุคคลต่างๆ โดยเสนอไว้ 3 เรื่องคือ
1.แยกการเมืองออกจากวิทยาศาสตร์ ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ไม่ว่าประเทศไทยหรือประเทศอื่นๆ ประเด็นวัคซีนกับประเด็นการเมืองมักมาพร้อมกัน จะทำอย่างไรในการตัดแยกการเมืองออกไปให้เหลือเพียงความเชื่อในข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เช่น สหรัฐอมเริกา กลุ่มคนที่สนับสนุนอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เลือกที่จะไม่ฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งมูลเหตุจูงใจไม่ใช่เรื่องวิทยาศาสตร์แต่มาจากการเชื่อแนวคิดทางการเมืองของทรัมป์
2.ลงลึกในข้อมูล เช่น ข่าวนำเสนอการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 ยี่ห้อหนึ่งมีประสิทธิภาพร้อยละ 54 ส่วนอีกยี่ห้อมีประสิทธิภาพร้อยละ 95 คำถามคือประชาชนเข้าใจความหมายของคำว่าประสิทธิภาพหรือไม่ โดยมีหลายคนเข้าใจว่า คน 100 คนที่ฉีดวัคซีนยี่ห้อหลัง 95 คนจะไม่ติดเชื้อโควิด-19 ส่วนอีก 5 คนยังอาจติดเชื้อได้ แต่ที่ถูกต้องคือ เมื่อคนคนหนึ่งฉีดวัคซีนยี่ห้อหลังไปแล้ว คนคนนั้นมีโอกาสที่จะติดเชื้อโควิด-19 ลดลงร้อยละ 95
หรืออีกด้านหนึ่ง หลายคนอาจเข้าใจว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนยี่ห้อแรกที่มีประสิทธิภาพร้อยละ 54 หมายถึงมีโอกาสเสียชีวิตถึงเกือบร้อยละ 50 แต่จริงๆ แล้ว วัคซันทั้ง 2 ยี่ห้อแม้จะระบุประสิทธิภาพต่างกัน แต่ในด้านการลดโอกาสเสียชีวิตหรือมีอาการป่วยรุนแรงนั้นลดลงได้เกือบร้อยละ 100 เหมือนกัน ข้อมูลนี้สำคัญมากและสื่อต้องอธิบายให้ชัดเจนว่าการฉีดวัคซีน 2 ยี่ห้อนี้ไม่ว่ายี่ห้อใดก็ตาม แม้จะยังมีความเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 ได้อีก แต่วัคซีนจะช่วยลดโอกาสเสียชีวิตหรืออาการเจ็บป่วยรุนแรงลงได้ ทั้งนี้ หากสื่อไม่ลงลึกในข้อมูลประชาชนก็ต้องลงลึกด้วยตนเอง
และ 3.พร้อมรับความรู้ใหม่ที่ลบล้างข้อมูลเก่า เช่น กรณีวัคซีนโควิด-19 ของแอสตราเซเนกา วันที่ 1 มี.ค. 2564 รัฐบาลแคนาดา กำหนดให้ใช้เฉพาะผู้มีอายุ 18-64 ปีเท่านั้น แต่ต่อมาในช่วงปลายเดือน เม.ย. 2564 รัฐบาลแคนาดาประกาศเพิ่มเติมว่าสามารถใช้ได้กับผู้มีอายุ 64 ปีขึ้นไปเพราะมีผลการทดลองใหม่มาสนับสนุน ประชาชนจึงมีหน้าที่ตรวจสอบว่ามีข้อมูลความรู้ใหม่ๆ อะไรเพิ่มขึ้นบ้าง ดังตัวอย่างข้างต้นเรื่องวัคซีน
“3 สิ่งนี้ที่ประชาชนต้องมีเป็นตะแกรง สรุปคืออย่าหาคนที่เราเชื่อ แต่ต้องมีอาวุธไว้ประจำตัวในการกรองข้อมูลข่าวสาร” สายใจ กล่าวในท้ายที่สุด
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี