(ต่อจากเรื่อง “มากกว่า “ข้อมูล” คือ “ชีวิต” เข้าใจ-ร่วมมือ..แก้จนได้จริง” : สกู๊ปแนวหน้า เสาร์ที่ 1 พ.ค. 2564) ยังคงอยู่ที่งานเสวนา “งานวิจัยกับการแก้ไขปัญหาความยากจน” จัดโดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) โดยตอนที่แล้วนำเสนอตัวอย่าง 2 จังหวัด “อำนาจเจริญ-แม่ฮ่องสอน” ว่าด้วยการค้นหา แก้ไข และส่งต่อความช่วยเหลือคนยากจนหรือกลุ่มเปราะบาง แต่ยังมีตัวอย่างอีกหลายจังหวัดและข้อสรุปในภาพรวม
สุธาสินี คุปตะบุตร ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร กล่าวว่า มหาวิทยาลัยมีบทบาทในฐานะ “ทุนทางปัญญา” ด้วยความพร้อมทั้งด้านความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่หลากหลาย โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยราชภัฏซึ่งทำงานร่วมกับท้องถิ่น ทำให้เป็นผู้ประสานงานกับทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาชน ทั้งนี้ ในพื้นที่จ.สกลนคร มีการจัดตั้งศูนย์ขจัดความยากจน มหาวิทยาลัยได้มีบทบาทบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ในจังหวัด ภายใต้เป้าหมายเดียวกันคือทำอย่างไรคนจนจะหลุดพ้นจากความยากจน
ด้วยการสนับสนุนของ ปรีชา มณีสร้อย นายอำเภอกุดบาก ทำให้ มรภ.สกลนคร ได้พื้นที่ “ตำบลกุดไห” ในเขตอ.กุดบาก สำหรับทำโครงการนำร่องแก้จนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ เริ่มจากการสำรวจและแบ่งปัญหาความยากจนเป็น 4 ระดับจากรุนแรงที่สุดถึงเล็กน้อย คืออยู่ยากมาก อยู่ยาก อยู่ได้และอยู่ดี เพื่อวางแนวทางพัฒนาศักยภาพให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่ม “โครงการนี้ทำให้มหาวิทยาลัยคิดถึงคนจนมากขึ้น” เช่น นำเรื่องราวชีวิตคนจนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนการสอน ให้นักศึกษาได้ลงพื้นที่ทำงานจริงและมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาความยากจน
“จากการดำเนินการในโครงการนำร่องของเรา ก็ไปสู่การยกระดับ มหาวิทยาลัยเราคิดว่าควรจะยกระดับทั้งอำเภอ จึงเกิดเป็นกุดบากโมเดลขึ้น จากกุดบากโมเดลเราก็มีแนวทางการพัฒนา เราพยายามจะผลักดันการพัฒนาและการช่วยเหลือคนเหล่านั้น จัดทำเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายที่มีชีวิต ผลักดันเข้าสู่แผนพัฒนาการแก้ไขความยากจนในระดับจังหวัด” ผอ.สถาบันวิจัยและพัฒนา มรภ.สกลนคร กล่าว
ผศ.ดร.สหัสา พลนิล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ เล่าเรื่องโครงการแก้จนในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ว่า วัฒนา พุฒิชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ได้ตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการจัดทำฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ของผู้ประสบปัญหาสังคม โดยในคณะกรรมการจะประกอบด้วยพัฒนาสังคมจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด ตลอดจนหน่วยงานสังคมสงเคราะห์ต่างๆ และคณะทำงานของมหาวิทยาลัย
หลังรวบรวมข้อมูลแล้ว คณะทำงานได้สอบทานข้อมูลกับ 22 อำเภอ เพื่อเติมเต็มเข้ากับแผนพัฒนาระดับอำเภอ ก่อนลงลึกถึงระดับตำบล รวมถึงสอบทานกับครัวเรือนประชาชน สามารถแบ่งได้ 3 กลุ่มคือ 1.พื้นที่ลุ่มน้ำ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ อย่างการเลี้ยงหอย แต่คณะทำงานค้นพบว่าเป็นวิถีชีวิตที่สำคัญของชาวบ้าน อย่างไรก็ตาม ไม่พบปัญหาด้านการขาย และทางจังหวัดและอำเภอก็สนับสนุนพื้นที่ขาย เช่น ตลาดสีเขียว ตลาดชุมชน
ขณะที่ “บ้านเหล่าโดน” ต.หนองแค อ.ราษีไศล มีกลุ่มคนรุ่นใหม่สนใจเทคโนโลยี มีการสนับสนุนให้นำความรู้มาใช้ต่อยอดจากสิ่งที่มีในท้องถิ่น สร้างรายได้ในชุมชน เช่น การทำการคลาดสินค้าชุมชนทางออนไลน์ 2.พื้นที่กึ่งเมือง สืบเนื่องจากทางพัฒนาสังคมจังหวัดศรีสะเกษ แนะนำให้คณะทำงานไปสำรวจ “ตำบลหนองครก” อ.เมือง เพราะเป็นชุมชนใกล้เมืองแต่ผู้คนกลับมีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ พบสาเหตุคือ 2.1 ไม่มีที่ทำกิน เพราะเป็นเขตเมืองขยายจึงมีการขายที่ดินจนหมด 2.2 มีรายได้แบบอ่อนไหวง่าย ทำงานในเมือง เมื่อเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงก็ตกงาน
แต่อีกด้านก็พบต้นทุนสำคัญคือการเลี้ยงจิ้งหรีด ต้นทุนประมาณ 1,600 บาท แต่หากเลี้ยงไปประมาณ 3 เดือนจะขายได้ถึง 6,000 บาท และจะได้มากกว่านี้หากขยายพื้นที่เลี้ยงแต่ข้อดีคือใช้พื้นที่น้อยจึงเหมาะกับผู้สูงอายุหรือมีปัญหาสุขภาพ อีกทั้งมีตลาดรองรับตลอดเวลา และ 3.บึงมะลูในพื้นที่ อ.กันทรลักษ์ ที่นี่พบปัญหาคนตกสำรวจ แต่ก็เป็นพื้นที่ที่ ผวจ.ศรีสะเกษ ประสานกับทุกหน่วยงานให้เข้าไปร่วมแก้ไขปัญหาแบบบูรณาการ
“ผลสรุปของการวิจัย งานวิจัยก็มีข้อเสนอแนะให้จังหวัดในเรื่องควรจะศึกษาข้อมูลเชิงลึกของรายครัวเรือนชุมชน แล้วก็ควรจัดทำฐานข้อมูลเพื่อไปใช้ประโยชน์ร่วมกันในฐานข้อมูลเดียวกับทุกจังหวัด แล้วถัดไปก็คือจัดทำแผนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจระดับครัวเรือน ระดับชุมชนและแผนพัฒนาวิสาหกิจชุมชน สุดท้ายเห็นควรว่าควรส่งเสริมให้มีเศรษฐกิจระดับตำบล” ผศ.ดร.สหัสา กล่าว
ขณะที่ ไพรัตน์ จีรเสถียร หัวหน้าฝ่ายพัฒนานวัตกรรมบริการวิชาการและถ่ายทอดเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (วิทยาเขตปัตตานี) กล่าวถึงการเลี้ยง “ปลาสลิดดอนนา” ในพื้นที่ จ.ปัตตานี โดยเริ่มต้นนำร่องที่ “ตำบลบ้านกลาง” อ.ปะนาเระ ซึ่งด้านความรู้นั้น ม.อ.ปัตตานี ทำงานร่วมกับ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดปัตตานี รวมถึงสถานีพัฒนาที่ดินปัตตานี
กระบวนการเลี้ยงนั้นมีการปรับให้เข้ากับวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ เช่น บางครัวเรือนเน้นเพาะลูกปลาขายตัวละ 1 บาทหรือครัวเรือนไหนเลี้ยงได้เพียงปลารุ่น ก็สามารถขายปลารุ่นให้ครัวเรือนอื่นๆ นำไปเลี้ยงต่อเป็นปลาเนื้อ หรือแม้กระทั่งการสร้างรายได้ที่เกี่ยวเนื่องกับการเลี้ยงปลาสลิด คือการปลูก “หญ้าเนเปียร์แคระ” สำหรับนำไปทำ “หญ้าหมัก” ใช้เป็นอาหารปลา เพราะหญ้าหมักมีต้นทุนต่ำกว่าอาหารเม็ดแต่เนื้อปลายังมีคุณภาพดี
“วันนี้ปลาสลิดดอนนาได้นำไปขายที่สิงคโปร์ มีพ่อค้าติดต่อสนใจมา มีความต้องการค่อนข้างมาก เราก็ต่อรองว่าขอส่งเดือนละ 3 ครั้งก่อนได้ไหม? เพราะใช้เวลาในการผลิตเพื่อให้ได้ปริมาณเพียงพอในการที่จะส่งไป ก็ต้องใช้เวลา ก็ทำให้เรื่องของการตลาดตรงนี้เราพยายามรักษาการตลาด นอกจากนี้ก็มีพ่อค้าจากมาเลเซียเข้ามา ซึ่งราคาปลาสลิดดอนนา นี่แค่ชนิดเดียว แปรรูปเป็นปลาแดดเดียว วันนี้ที่ไปขายที่สิงคโปร์ ราคา 1,000 บาท/กิโลกรัม
ซึ่งราคาต้นทุนที่มหา’ลัยร่วมกับศูนย์วิจัยประมงในการผลิตปลาสด เราใช้ต้นทุนไม่เกิน 45 บาท/กิโลกรัม และการนำมาแปรรูป เมื่อเราซื้อเป็นปลาสดจากสมาชิก ให้เขามีรายได้ซึ่งกันและกัน เป็นปลาเนื้อกิโลกรัมละ 80 บาท แล้วก็มาผลิตเป็นปลาแดดเดียว 2 กิโลกรัมได้ 1 กิโลกรัม ต้นทุนอยู่ที่ 160 บาท ไม่รวมค่าบรรจุภัณฑ์อะไรต่างๆ แต่เราเอาไปขาย ขั้นต่ำ 250-500 บาท” ไพรัตน์ ระบุ
ปิดท้ายด้วย แมน ปุโรทกานนท์ หัวหน้าโครงการพัฒนาระบบสนับสนุนการทำงานเชิงพื้นที่เพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ กล่าวว่า เรื่องของคนจนไม่อาจมองจากข้อมูลด้านรายได้หรือเส้นความยากจนอย่างเดียว แต่ต้องให้ความสำคัญกับทุนหรือศักยภาพของครัวเรือน สถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ จึงต้องไปศึกษาทุน 5 ด้าน คือทุนมนุษย์ ทุนทางกายภาพ ทุนการเงิน ทุนธรรมชาติ และทุนทางสังคม ในแต่ละพื้นที่ ซึ่งลักษณะคนจนนั้นก็จะแตกต่างกันด้วย
นอกจากนี้ ยังมีคนจนอีกส่วนหนึ่งที่ต้องได้รับความช่วยเหลือ ก็จะมีการส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คนจนกลุ่มนี้มีลักษณะเป็น “ผู้พึ่งพิง” ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยตนเอง ต้องอาศัยรับสวัสดิการ รวมถึงมีอาการเจ็บป่วย เป็นผู้พิการหรือผู้ป่วยติดเตียง ครัวเรือนเหล่านี้ต้องเข้าสู่ระบบส่งต่อ การมีฐานข้อมูลทำให้ระบบส่งต่อดำเนินการได้เช่น ที่ จ.ปัตตานี ผศ.ดร.สมพร ช่วยอารีย์ ผู้อำนวยการสำนักวิทยบริการ ม.อ.ปัตตานี พัฒนาระบบฐานข้อมูลออนไลน์ และอีกหลายจังหวัดก็พยายามทำระบบแบบเดียวกัน
“มีกรณีที่น่าจะบันทึกไว้ ที่ ต.บึงมะลู จ.ศรีสะเกษ ท่านผู้ว่าฯ และรองผู้ว่าฯ ลงไปด้วย พบคุณยาย 2 ท่านไม่มีบัตรสวัสดิการ เพราะไม่มีบัตรประชาชน ทางผู้บริหารจังหวัดไฟเขียว นำไปสู่การช่วยเหลือปลดล็อก ก็เอามาตรวจอัตลักษณ์ น่าจะเรียกว่าขึ้นอยู่ในสายพานเร่งด่วน พิสูจน์อัตลักษณ์แล้วก็ได้รับบัตรสวัสดิการ ก็ถือว่าเป็นการทำงานที่ทุกส่วนช่วยกัน ถ้าข้อมูลมันเป็นที่ยอมรับและเชื่อถือไว้ใจได้” หัวหน้าโครงการพัฒนาระบบสนับสนุนการทำงานเชิงพื้นที่เพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ กล่าว
โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ ดำเนินการนำร่องใน 10 จังหวัดที่ถูกระบุในปี 2562 ว่ายากจนที่สุดในประเทศไทย ประกอบด้วย แม่ฮ่องสอน ชัยนาท มุกดาหาร ยโสธร สุรินทร์ ศรีสะเกษ สกลนคร กาฬสินธุ์ อำนาจเจริญและปัตตานี โดยสถาบันการศึกษาในระดับพื้นที่ 10 แห่ง ประกอบด้วย วิทยาลัยชุมชนแม่ฮ่องสอนวิทยาลัยชุมชนชัยนาท วิทยาลัยชุมชนมุกดาหาร
วิทยาลัยชุมชนยโสธร มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (วิทยาเขตปัตตานี) ภายใต้คำถามหลัก 3 ข้อคือ 1.คนจนอยู่ที่ไหนในแต่ละพื้นที่ และจนด้วยสาเหตุใด 2.คนจนนั้นมีทุนอะไร แล้วจะไปช่วยเหลืออย่างไรให้หลุดพ้นจากความยากจน 3.จะทำให้เกิดความยั่งยืนในระบบการดูแลคนจนได้อย่างไร
และในระยะต่อไปจะขยายไปอีก 10 จังหวัด คือ บุรีรัมย์ นราธิวาส อุบลราชธานี ลำปาง พัทลุง นครราชสีมา ร้อยเอ็ด พิษณุโลก เลย และยะลา!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี