“ข่าวปลอม (Fake News)” ปัญหาที่มาคู่กับความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เมื่ออินเตอร์เนตและอุปกรณ์เชื่อมต่อไม่ว่าคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนเข้าถึงคนจำนวนมากได้ง่าย การเผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลข่าวสารก็กระจายไปอย่างรวดเร็ว ถึงขนาดที่ในช่วงปีเศษๆ ล่าสุดจนถึงปัจจุบัน ที่มีสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 มีศัพท์เกิดใหม่ขึ้นคือ“อินโฟเดมิค (Infodemic)” หมายถึงการระบาดของข้อมูลข่าวสารที่ไม่เป็นความจริง โดยล้อมาจากคำว่า “แพนเดมิค(Pandemic)” ที่แปลว่าโรคระบาด
ในงานแถลงข่าว (ออนไลน์) เรื่อง “ถอดรหัสข่าวลวง: เปิดรายงานโคแฟค ที่มา ลักษณะข่าวลวงและข้อเสนอแนะ(De-coding Disinformation : Cofact Original Report and Recommendations)” เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ชิตพงษ์ กิตตินราดร ผู้แทนทีมวิจัยสถาบันเชนจ์ฟิวชั่น เล่าถึงผลการศึกษาที่หยิบยกเนื้อหาบางส่วนที่เผยแพร่และส่งต่อกันบนโลกออนไลน์ที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นข่าวปลอม ทั้งที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 และเรื่องอื่นๆ มาวิเคราะห์ ด้วยวิธีแบ่งผู้เกี่ยวข้องเป็น 2 กลุ่มคือ ผู้เผยแพร่ข่าว (Spreader) และผู้แก้ไขข่าว(Corrector) ได้แก่
1.สมุนไพรฟ้าทะลายโจรป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ได้ (ซึ่งในความเป็นจริงผลการศึกษาพบเพียงมีฤทธิ์ในการรักษาและสร้างภูมิคุ้มกันในระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่รวมถึงการป้องกันโรคแต่อย่างใด แต่ผู้ที่น่าจะเผยแพร่เป็นคนแรกใช้วิธีพาดหัวบิดเบือน) การค้นหาระหว่างวันที่ 10 ก.พ.-10 พ.ค. 2564 พบข้อความเผยแพร่ข่าวปลอม 180 ข้อความ และข้อความแก้ไขข่าวปลอม 401 ข้อความ
2.มะนาวโซดาฆ่าเชื้อโควิด-19 ค้นหาระหว่าง วันที่ 12 ธ.ค. 2563-12 มี.ค. 2564 พบข้อความเผยแพร่ข่าวปลอม 2 ข้อความ และข้อความแก้ไขข่าวปลอม 18 ข้อความ เช่นเดียวกับมะนาวโซดารักษาโรคมะเร็ง พบข้อความเผยแพร่ข่าวปลอม 3 ข้อความ และข้อความแก้ไขข่าวปลอม 157 ข้อความ 3.คลิปเสียงแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราช ระบุว่าการกินยาเขียวช่วยป้องกันและรักษาโรคจากไวรัสโควิด-19 ได้ ค้นหาระหว่างวันที่ 10 ก.พ.-10 พ.ค. 2564 ไม่พบข้อความเผยแพร่ข่าวปลอม แต่พบและข้อความแก้ไขข่าวปลอม 39 ข้อความ
4.อดีตหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของบริษัทไฟเซอร์ เตือนว่าผู้ฉีดวัคซีนโควิด-19 จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ค้นหาระหว่างวันที่ 13 ก.พ.-13 พ.ค. 2564 พบข้อความเผยแพร่ข่าวปลอม 33 ข้อความ และข้อความแก้ไขข่าวปลอม 1 ข้อความ 5.ข่าวแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง สามารถใช้กู้ยืมเงินสดได้ ค้นหาระหว่างวันที่ 13 ก.พ.-13 พ.ค. 2564 ไม่พบข้อความเผยแพร่ข่าวปลอม แต่พบและข้อความแก้ไขข่าวปลอม 16 ข้อความ และ 6.ข่าวลวงเรื่องคลื่นความหนาวปกคลุมประเทศไทยทุกภาค ค้นหาระหว่างวันที่ 15 พ.ย. 2563-16 ก.พ. 2564 ไม่พบข้อความเผยแพร่ข่าวปลอม แต่พบและข้อความแก้ไขข่าวปลอม 5 ข้อความ
จากตัวอย่างทั้ง 6 ข่าวนี้ ข้อค้นพบที่น่าสนใจคือ “มีข่าวปลอมถึง 4 ข่าวที่คาดว่าน่าจะไประบาดกันบนกลุ่มสนทนาแบบปิด” ประกอบด้วย ข่าวมะนาวโซดาฆ่าเชื้อโควิดหรือฆ่ามะเร็ง ข่าวคลิปเสียงแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราช ข่าวแอปฯ เป๋าตังกู้ยืมเงินสดได้ และข่าวคลื่นความหนาวปกคลุมประเทศไทย เนื่องจากมีความพยายามเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องหรือแก้ไขความเข้าใจผิดกันอยู่จำนวนมาก แต่ไม่พบหรือแทบไม่พบคำค้นหาที่เป็นข่าวปลอมนั้น โดยงานวิจัยชิ้นนี้ค้นหาข้อมูลได้แต่เพียงแพลตฟอร์มเปิด เช่น เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ อินสตาแกรมยูทูบ และเว็บไซต์พันทิป
ชิตพงษ์ เสนอแนะว่า กรณีแพลตฟอร์มที่ให้บริการสนทนาแบบกลุ่มปิด น่าจะมีการหารือกับผู้ให้บริการเพื่อสร้างกลไกตรวจสอบข่าวปลอมที่ระบาดกันอยู่ในระบบ รวมถึงสร้างเครือข่ายอาสาสมัครตรวจสอบข่าวลวง หากข้อความใดน่าสงสัย อาจส่งให้ผู้ที่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ เช่น ภาคีโคแฟค ประเทศไทย (Cofact Thailand) ช่วยตรวจสอบก่อนนำข้อมูลที่ถูกต้องกลับไปเผยแพร่ในกลุ่ม
ด้าน สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง โคแฟค ประเทศไทย และอดีตกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) อธิบายเพิ่มเติมในประเด็นกลุ่มสนทนาแบบปิด ว่า ในประเทศไทยจะนิยมใช้แอปพลิเคชั่นไลน์ ส่วนต่างประเทศจะเป็นแอปพลิเคชั่นวอตส์แอปป์ กลุ่มสนทนาที่ตั้งขึ้นผ่านแอปฯ เหล่านี้ไม่ถูกมองเห็นแบบสาธารณะ ซึ่งต่างจากแพลตฟอร์มเปิด เช่น ทวิตเตอร์ ที่เมื่อโพสต์อะไรไปเพียงครู่เดียวก็อาจเกิดการโต้เถียงแล้ว
ขณะเดียวกัน “วัฒนธรรมเกรงใจ” ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ข่าวปลอมในกลุ่มสนทนาแบบปิดไม่ถูกแก้ไข เพราะโดยทั่วไปแล้ว สมาชิกในกลุ่มปิดเหล่านี้มักเป็นคนที่รู้จักกัน เช่น พ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ ผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงาน จึงไม่กล้าเตือนกันเพราะไม่อยากให้โกรธกันจากความรู้สึกว่าทำให้เสียหน้า คนไทยจำนวนมากจึงเลือกถนอมน้ำใจ คนที่เผยแพร่ข้อความนั้นก็ยังเข้าใจต่อไปว่านั่นเป็นเรื่องจริง
อนึ่ง ปัญหาการส่งต่อข่าวปลอมนั้นยังมีเรื่องของ “อคติ” ที่แม้จะเป็นแพลตฟอร์มเปิดซึ่งสามารถพบเห็นการแก้ไขหรือชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องได้ แต่คนส่วนหนึ่งก็ยังเลือกที่จะเชื่อข้อมูลที่ไม่จริงต่อไป ทั้งนี้ สำหรับการแก้ไขปัญหาข่าวปลอม มีข้อเสนอต่อไปนี้ 1.ข้อมูลที่ออกมาจากภาครัฐต้องชัดเจนไม่คลุมเครือ และไม่เปลี่ยนไป-มา หรือหากจะเปลี่ยนก็ควรมีฐานข้อมูลกลางเป็นช่องทางให้ประชาชนเข้าไปตรวจสอบข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานต่างๆ ได้ หรือเรียกว่าระบบข้อมูลเปิด (Open Data)
เช่น ประเด็นวัคซีนโควิด-19 ที่แต่ละคนต้องไปตามกันเองในเพจนั้นเพจนี้บ้าง ข้อมูลก็จะมีทั้งจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง หรือจริงแต่มีการปรับปรุงเพิ่มเติมในเวลาต่อมา (Update) บ้าง ทำอย่างไรจึงจะมีช่องทางให้เข้าไปตรวจสอบ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาความสับสน ตลอดจนข่าวปลอมได้ 2.สื่อมวลชนควรช่วยตรวจสอบข่าวลือต่างๆ อย่างทันท่วงที ที่ผ่านมาหลายครั้งก็พยายามช่วยกัน แต่หลายครั้งแหล่งข้อมูลก็ยังมีความสับสน ดังนั้นแหล่งข่าวไม่ว่าภาครัฐหรือเอกชนต้องทำข้อมูลเข้าถึงได้โดยง่ายเพื่อใช้ในการอ้างอิง
3.ผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์ควรมีระบบแจ้งเตือนหรือลบข้อมูลที่พิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง ซึ่งมีตัวอย่างแล้ว เช่น เฟซบุ๊ค ที่ในต่างประเทศพบการระงับการเผยแพร่ข้อมูลที่พบว่าเป็นข่าวปลอม 4.ประชาชนทั่วไปในฐานะผู้ใช้สื่อ ต้องปรับตัวให้มีนิสัยตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนส่งต่อข้อมูล (Fact Checker) ซึ่งผู้ที่เข้าถึงอินเตอร์เนตสามารถทำได้ผ่านการค้นหาข้อมูล โดยปัจจุบันมีหลายองค์กรทำงานด้านตรวจสอบข่าวปลอม และ 5.ต้องสร้างการเรียนรู้ทักษะความรู้เท่าทันดิจิทัล (Digital Literacy) ใส่ไว้ในหลักสูตรการศึกษาระดับต่างๆ
เพื่อให้ประชาชนมีทักษะรู้เท่าทัน (เช่น ภาพหรือคลิปวีดีโอตัดต่อ)..อันเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี