พระอธิการสุธรรม สุธัมโม หรือ หลวงพ่อสุธรรม สุธัมโม เจ้าอาวาส วัดเกษรศีลคุณ หรือ วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี เมตตาแสดงธรรมในหัวข้อ “ความไม่ประมาท” ในโอกาสเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ในพิธีวางศิลาฤกษ์ “อาคารหลวงปู่บุญทัน ฐิตสีโล” ที่โรงพยาบาลบึงสามพัน อำเภอบึงสามพัน จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่ง “แนวหน้า ออนไลน์” นำมาถอดเทปเสนอเป็นตอนที่ 3 เพื่อเป็นธรรมทาน มีเนื้อหาดังนี้
ธรรมชาติก็ให้ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เสมอเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้นการได้เรือนกายนี้มาก็เป็นหน้าที่ของพวกเราที่เราจะต้องเยียวยาบริหารมันตามหลัก “ภาราหะเวปัญจักขันธา” ขันธ์ 5 นี้เป็นภาระให้เราต้องเยียวยาบริหารมันตลอด นับตั้งแต่วันเราเกิดขึ้นมาแล้ว เราทนต่อความหิวกระหายไม่ได้ เราก็ต้องบริหารด้วยการกิน แม้กินก็พอไปบรรเทาความหิวกระหายช่วงระยะหนึ่ง สี่ห้าชั่วโมง มันหิวมาเราก็ต้องไปบรรเทามันอีก ด้วยการรับประทาน ก็เป็นมาอยู่อย่างนั้นตั้งแต่วันเกิดมา จนกระทั่งถึงวันนี้ และยังจะสืบต่อไปยังข้างหน้าอีกแน่นอน แม้ความหนาว แม้ความร้อน เราทนไม่ได้ เราก็ต้องไปนุ่งห่ม หรือ ไปอาบน้ำ เพื่อบรรเทาความหนาวความร้อนทั้งหลายเหล่านั้น หรือ แม้กระทั่งการขับถ่ายก็เป็นไปเพื่อบรรเทาในธาตุขันธ์ร่างกายกองนี้นั่นเอง
แม้กระทั่งการยืน เดิน นั่ง นอน ก็เป็นการบรรเทาจากการยืน จากการนั่ง จากการนอน เพียงให้เรือนกายนี้มันอยู่ได้ เพราะถ้าหากพวกเราไม่บริหารดังที่กล่าวมาแล้วนั้น เรื้อนกายนี้ถึงกับการแตกดับไปได้ เมื่อเรือนกายนี้แตกดับไปแล้ว แม้เราปรารถนาที่จะทำสิ่งใดประกอบคุณงามความดีอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะทางโลก หรือ ทางธรรม เราจะไม่มีความสามารถที่จะทำได้ เพราะในการทำกิจทั้งหลายเหล่านั้น เราก็ต้องอาศัยเครื่องมือประเสริฐ คือ เรือนกายนี้นั่นเอง ไม่ว่าเราจะทำกิจในทางโลก หรือ เราจะทำกิจในทางธรรม ก็ล้วนแต่ต้องอาศัยเรือนกายนี้มาเป็นเครื่องมือในการทำกิจทั้งหลายเหล่านั้น
เพราะฉะนั้น หน้าที่การบริหาร จึงเป็นหน้าที่ของพวกเราทั้งหลาย แต่ในขณะที่เราบริหารเขาอยู่นี้ เราก็อย่าบริหารด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยหิว เพียงเท่านั้น เราก็ควรจะตื่นตัวขึ้นมา เอาประโยชน์สรรสาระจากเรือนกายนี้ให้มากที่สุด ในชีวิตของพวกเราท่านทั้งหลาย เพราะเรือนกายนี้จะอยู่กับเราได้ไม่นานเลย อย่างเก่งก็ไม่เกินร้อยปี เพราะในขณะนี้เรามาอาศัยเรือนกายนี้อยู่ช่วงระยะหนึ่ง อีกไม่นานเรือนกายนี้ก็จะจากเราไปแล้ว เพราะฉะนั้น ในขณะที่เขาอยู่กับเรานั้น เป็นโอกาสที่เราจะเอาประโยชน์แก่นสารสาระจากเขาให้ได้มากที่สุด เพราะเรือนกายนี้เป็นของเปราะบางอย่างยิ่ง ล้วนแต่จะล้มหายตายจากไปได้ทุกกาลทุกเวลา ดังที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวไว้ว่า อัชเชวะ กิจจะมาตัปปัง โก ชัญญา มะระณัง สุเว, นะ หิ โน สังคะรันเตนะ มะหาเสเนนะ มัจจุนา ความตายนั้นไม่มีเครื่องหมายบอกเหตุว่าจะมาถึงเราในวันนี้ หรือ พรุ่งนี้
แต่เมื่อพญามัจจุราชมาถึงเราในเวลาใด ขณะใดก็ตาม ไม่มีใครจะอ้อนวอนขอร้อง หรือ ติดสินบนกับพญามัจจุราชได้ เราจะไปอ้างว่า ฉันยังเป็นเด็ก เป็นเล็ก เป็นหนุ่ม เป็นสาว คอยให้ฉันแก่เฒ่าก่อนแล้วค่อยตาย หรือ การงานของฉันยังไม่เสร็จ ให้ฉันทำการงานให้เสร็จ เลี้ยงลูก เลี้ยงหลานโตเป็นหนุ่มสาวก่อนแล้วค่อยตาย หรือ ฉันมีเงินเป็นสิบๆล้านไปจ้างพญามัจจุราชสักสองสามล้านแล้วไม่ต้องตายเลย ท่านบอกว่า มะหาเส เน นะ มัจจุนา ไม่มีใครจะไปต่อต้านพญามัจจุราชผู้มีเสนาอันยิ่งใหญ่ได้อย่างแน่นอน แม้พญามัจจุราชมาถึงเราในขณะที่เรายังยืนอยู่ เราจะมาผลัดเพี้ยนว่า ขอให้ฉันไปนอนซะก่อนแล้วค่อยตายยังเป็นไปไม่ได้ แล้วนับประสาอะไร เราจะไปผัดวันประกันพรุ่งได้เล่า แต่แน่นอนในขณะนี้ แม้พญามัจจุราชตามเรามาก็ตาม แต่ก็ยังมาไม่ถึงเราสักที จึงเป็นโอกาสที่เราจะตื่นตัวขึ้นมา นำเอาธาตุขันธุ์ร่างกายนี่ล่ะ มาสร้างแก่นสารสาระขึ้นมาต่อตนเองและสังคม เพราะในขณะใดที่เราสามารถเอาเรือนกายนี้มาสร้างประโยชน์แก่นสารสารถขึ้นมาต่อตนเองและต่อสังคมแล้ว
แม้ถึงกาลเวลาแตกดับก็ตาม เราก็ไม่มีข้อเสียอกเสียใจว่า เราได้เรือนกายนี้มาอย่างไม่มีประโยชน์อะไรจากเรือนกายนี้เลย มีแต่ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยหิวจากเรือนกายนี้ แต่ตรงกันข้าม เราจะมีความภูมิใจว่า กว่าเราจะได้เรือนกายมานี้แล เราไม่ได้ประมาท ไม่ได้นอนใจ ความเป็นอยู่ของเรือนกายนี้ เรารีบเร่งขวนขวายเอาเรือนกายนี้ มาสร้างประโยชน์มาสร้างแก่น สรรสาระขึ้นมา แก่ตนเอง และ สังคมโลกทั่วไป ด้วยความไม่ประมาท ด้วยไม่นอนใจ ด้วยความที่ธาตุขันธุ์ร่างกายเหล่านี้ มันจะเสื่อมไปๆก็ตาม แต่เราก็รีบเร่งเอาประโยชน์แก่นสารสาระจากมันให้ได้มากที่สุด ดังที่พระพุทธเจ้าได้เตือนพวกเราไว้ ในปัจฉิมโอวาท ก่อนที่พระองค์จะปรินิพพานว่า วะยะ วะยะ ธัมมา สังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ เป็นต้น พระองค์ทรงกล่าวไว้ว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลาย จงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด นี่แล พระพุทธเจ้า พระองค์ได้เตือนสาวกทั้งหลายเป็นปัจฉิมโอวาทก่อนที่พระองค์จะปรินิพพาน
เพราะฉะนั้น ในปัจฉิมโอวาทนี้ จึงเป็นธรรมสำคัญอย่างยิ่ง ที่พวกเราไม่ควรที่จะมองข้ามไป เพราะชีวิตของพวกเราท่านทั้งหลาย จะเป็นชีวิตที่มีคุณค่าแก่นสารสาระขึ้นมา ก็เพราะการกระทำของพวกเราท่านทั้งหลาย เป็นประโยชน์และแก่นสารสาระต่อตนเอง และต่อสังคมโลกนั้นเอง จึงจะเป็นเครื่องหมายของความมีคุณค่าของชีวิตตนเอง เพราะฉะนั้น คุณค่านั้น ไม่ใช่เกิดขึ้นมา จากการเกิดขึ้นมาได้รูปร่างกลางตัวนี้ เพราะการเกิดขึ้นมาได้รูปร่างกลางตัวนี้ ล้วนแต่มีความเสื่อมสิ้นไปทั้งสิ้น แต่คุณค่าทั้งหลาย เกิดขึ้นมาจากการนำเอาเรือนกายนี้แล มาสร้างเป็นแก่นสารสารประโยชน์ขึ้นมาต่อตนเองและต่อสังคม แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น เพราะความเป็นปุถุชนคนมีกิเลสของเราท่านทั้งหลาย กิเลสที่ฝังรากลึกอยู่ในใจพวกเราท่านทั้งหลายนั้น มันก็จะคอยหาช่องจูงพวกเราลงไปในทางต่ำ ลงไปในทางเลว ลงไปในทางทำลายทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นความเป็นปุถุชนของพวกเรานั้น เราจึงไม่ควรที่จะนอนใจ ควรที่จะตื่นเนื้อตื่นตัวขึ้นมา น้อมนำเอาหลักธรรมหลักวินัยที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศสอนโลกไว้นั้น มาอบรมลงไปที่จิตที่ใจ เพื่อให้มีกำลังเหนือกว่ากำลังของกิเลสที่ครอบงำอยู่ภายในจิตในใจของพวกเราเอง เมื่อกำลังของธรรมะที่พวกเราอบรมเข้ามาในจิตในใจของเรา มีอำนาจอยู่เหนือกำลังของกิเลสแล้ว กิเลสแม้มีตัวตนอยู่ก็ไม่สามารถแสดงตัวตนออกมาครอบงำเราได้
แต่จะค่อยๆถูกธรรมะ ที่เกิดมาจากการอบรมจิตอบรมใจของพวกเราเองนั้น ชำระให้มันเบาบางจางออกไป จางออกไป กระทั่งหลุดขาดสะบั้นไปจากการครอบงำจิตใจของพวกเรา ออกไปเสียสิ้น เพราะฉะนั้นการประพฤติปฏิบัติของพวกเราที่เราประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยนั้น จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะเพิ่มพูนธรรมะขึ้นมาภายในจิตในใจของพวกเราเอง นับตั้งแต่ในเบื้องต้น ก็คือ การให้ทาน หรือ การเจือจาน เผื่อแผ่ แบ่งปัน ออกไปในส่วนเกินของพวกเรา คือ เมื่อพวกเราแบ่งปันออกไป ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม ที่เป็นสมบัติของเรา ไม่ว่าจะเป็นอาหาร การบริโภค วัตถุไทยทานต่างๆทั้งหลาย รวมเรียกว่า ปัจจัยสี่ เมื่อเราสละออกไปแก่บุคคลผู้อื่น เจือจานแบ่งปันไปบุคคลผู้อื่นนั้น เราไม่เดือดร้อน ครอบครัวของเราไม่เดือดร้อน จากการแบ่งปันของเรา
การแบ่งปันอันนั้นแล จึงเรียกว่า การให้ทานที่แท้จริง เพราะฉะนั้น การให้ทานที่ถูกต้องนั้น บุคคลที่ให้ทาน ไม่ควรที่จะเดือดร้อนจากการให้ทานนั้น แต่ตรงข้ามควรจะมีความเบิกบาน มีความผ่องใส ปลื้มปีติในการให้ทานของตนเอง การให้ทานนั้น จึงเป็นการให้ทานตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ประกาศสอนโลกไว้ เมื่อเราให้ทานที่ถูกต้องแล้ว การให้ทานนี้แหละ จะสะสม ลงมาเป็นธรรมเข้ามาภายในจิตในใจของพวกเราเอง จากนั้นพวกเราก็พยายามที่จะควบคุมกิเลสที่มีอยู่ในจิตในใจของเรา อย่าให้มันฟุ้ง เกินขอบเกินเขตออกมา จนกระทั่งนำกายวาจาใจของเราไปเป็นเครื่องมือของมัน ถ้าเราสามารถควบคุมกิเลสให้มันอยู่ในขอบในเขตได้ ไม่ปล่อยให้มันนำกายวาจาของเราไปเป็นเครื่องมือของมันได้แล้ว ศีลของเราก็บริสุทธิ์อย่างแน่นอน ศีลกี่ข้อ กี่ข้อ ก็ตามแต่เถอะ ถ้าหากพวกเราสามารถกำกับควบคุมกิเลสให้อยู่แค่ภายในจิตในใจของพวกเราเอง ไม่ปล่อยให้มันควบคุมจิตใจของเราได้แล้ว นั่นแหละ ศีลของเราจะมีแต่ความบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 ก็ล้วนแต่มีความบริสุทธิ์อยู่ที่จิตที่ใจของพวกเราเท่านั้น เมื่อเรามีทาน มีศีล เป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันแล้ว จิตใจของเรานับวันจะมีแต่ความเบิกบาน ผ่องใส การอยู่ร่วมกันของพวกเราก็มีแต่ความเบิกบาน อบอุ่น ไม่มีความระแวงต่อกัน ไม่มี “ปลิโพธ” ความกังวลในการอยู่ร่วมกัน
ต่อจากนั้น เรามาเราก็พยายามอบรมจิตอบรมใจของเราเอง ด้วยจิตตภาวนา เพราะจิตตภาวนาของเรานี้แลที่จะทำให้จิตใจของเรามีความตั้งมั่น หนักแน่น มั่นคง ที่เราเรียกกันว่า “สมาธิ” เพราะการที่พวกเรา สามารถอบรมจิตอบรมใจของเราเอง ตั้ง “สมาธิ” ขึ้นมาให้อยู่ในจิตในใจของเราแล้ว แม้การดำเนินชีวิตของเรา จะไม่ได้แตกต่างจากแต่เก่าก่อนมา คือ เดิมทีนับตั้งแต่เราเกิดรู้เดียงสามาแล้ว การดำเนินชีวิตของพวกเรามาจนถึงทุกวันนี้ ก็ล้วนแต่ต้องสัมผัสกับการได้การเสีย สัมผัสกับสิ่งที่น่ายินดี น่ายินร้าย ล้วนแต่ไหลเข้ามาสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ของพวกเรา ด้วยรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จิตนั้นเป็นผู้รับทราบในสิ่งที่มาสัมผัสทั้งหลายในอายตนะภายในของเราเอง แม้สิ่งทั้งหลายที่เข้ามาสัมผัส มีทั้งสิ่งที่น่ายินดีและน่ายินร้าย มีทั้งสิ่งที่เสียและสิ่งที่ได้ ที่รวมความกันแล้วที่เรียกว่า โลกธรรมทั้งหลาย มีแปดประการ มีฝั่งน่ายินดีสี่ และฝั่งน่ายินร้ายสี่ ก็ขึ้นด้วยการได้ลาภและเสื่อมลาภเป็นหนึ่งคู่ การได้ยศกับการเสื่อมยศเป็นอีกหนึ่งคู่ การได้สรรเสริญกับการได้นินทาเป็นอีกหนึ่งคู่ การได้สุขและการได้ทุกข์เป็นอีกหนึ่งคู่ ทั้งสี่คู่ แปดประการนี้แล มีอยู่รอบตัวเรา ทุกผู้ทุกคน ที่พวกเราจะต้องได้สัมผัสกับโลกธรรมทั้งหลายเหล่านี้อย่างแน่นอน ไม่มีท่านใดที่จะหลบลี้หลีกเร้นจากโลกธรรมทั้งแปดนี้ได้เลย เราจะต้องสัมผัสสัมพันธ์ตลอดในชีวิตของพวกเราท่านทั้งหลาย เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เป็นทางผ่านของพวกเราด้วยกันทั้งสิ้น
แต่ถ้าจิตของเราไม่ได้รับการอบรม ไม่ได้มีความตั้งมั่น หนักแน่นมั่นคง เป็น “สมาธิ” แล้ว สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ผ่านเข้ามาในชีวิตของพวกเรา ก็จะสามารถที่จะครอบงำจิตใจของเราให้จมลงไปกับโลกธรรมเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะฝั่งที่น่ายินดี หรือ ฝั่งที่น่ายินร้ายก็ตาม เช่น โลกธรรมในฝ่ายที่น่ายินดี ไม่ว่าจะได้ลาภ ได้ยศ สรรเสริญ ได้สุข เมื่อมาสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ของพวกเรา จิตเป็นผู้รับทราบ หรือ ความน่ายินดีอีก ก็ไปเพลิดเพลินยินดียึดติด ในความน่ายินดีทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อไปยึดติดก็ปรารถนาต้องการ มีความหวงแหน และ ก็มีความกังวลว่ามันจะจากไป หรือ มีความห่วง ความกังวล มีความหวง ห่วงรักษา ความหวง ความห่วง ความวิตกกังวล ก็ล้วนแต่เป็นตัวทุกข์ทั้งนั้น แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่พ้นจากหลัก อยู่ในหลักของ “ไตรลักษณ์” คือ “อนิจจัง” คือ ไม่เที่ยง มันก็มีเกิดขึ้นมาแล้วก็มีดับไป ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดแล้วไม่ดับ เพราะความเกิดขึ้นมา เป็นธรรมดาก็มีการดับสิ้นไปเป็นธรรมดา เมื่อสิ่งที่น่ายินดีเกิดขึ้นมา เราก็หลงไปยึดติดเขา เกิดเป็นความหวงแหน เกิดเป็นความกังวล เกิดเป็นความสงวนรักษา ก็ล้วนแต่เป็นความทุกข์ทั้งนั้น
เมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นแสดงตัวตนตามสภาพความเป็นจริง เขาคือ “อนิจจัง” ไม่เที่ยง มันแปรเปลี่ยนไป ดับไป เราเอามาเป็นทุกข์ เพราะการจากไป เพราะความแปรเปลี่ยนไปของสิ่งเหล่านั้น หรือ สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่น่ายินดี มีเสื่อมลาภ มีเสื่อมยศ มีนินทา มีทุกข์ เข้ามาจร เข้ามาครอบงำ เข้ามาในชีวิตของพวกเรา เราก็จะไปยึดติดในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นด้วยความไม่ปรารถนาไม่ต้องการ ก็เลยเกิดการผลักดัน เกิดการต่อต้าน
การผลักดัน การต่อต้าน มันก็เป็นตัวทุกข์อย่างหนึ่ง เมื่อยึดติดแล้ว สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็มาครอบงำจิตใจของเราด้วยความกลุ้มอกกลุ้มใจ ด้วยความคับแค้น ด้วยความวิตก ด้วยความขุ่นมัว ด้วยความเศร้าหมอง เพราะฉะนั้น โลกธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ถ้าหากจรเข้ามาในชีวิตของพวกเราแล้ว จิตใจดวงนี้ ไม่มีหลักเป็นที่พึ่งของตนเองแล้ว สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็สามารถมาครอบงำจิตใจของพวกเราให้จมลงไปในกองทุกข์ ทั้งฝ่ายน่ายินดี และ น่ายินร้าย ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น จิตดวงนี้ จึงควรค่าแก่การอบรมนับตั้งแต่เสียบัดนี้
การอบรมจิต อบรมใจนั้น ที่เราเรียกกันว่า “จิตตภาวนา” จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะเป็นวิธีการสร้างความเป็นปึกแผ่นแน่นหนา ความตั้งมั่น หนักแน่น มั่นคง ให้กับจิตดวงนี้ ที่เราเรียกกันว่า “สมาธิ” เพราะจิตของเรา แรกเริ่มเดิมที จากการไม่เคยอบรมเลย จิตนั้นก็มีแต่แส่ส่ายเร่รอนไปกับความนึกคิดปรุงแต่ง อยู่ตลอดมา มันไม่เคยหยุดนิ่ง เพราะฉะนั้น การที่จะให้จิตหยุดนิ่งได้ จิตนั้นก็ต้องมีหลักยึดไว้ โดยที่เราจะต้องนึกบทธรรมใดบทธรรมหนึ่งมาให้ยึดไว้ หลักสำคัญต้องขึ้นอยู่กับ “สติ” ต้องมี “สติ” กำกับจิต ให้อยู่กับบทธรรมนั้น จริงๆจังๆ ลงไป เช่นว่า เราจะยกเอาคำบริกรรมว่า “พุทโธ พุทโธ พุทโธ” ขึ้นมาเป็นหลักยึดของจิต เราก็ต้องต้ะงความเชื่อมั่นไปที่คำว่า “พุทโธ” นี้
“พุทโธ” นี่แล ที่จะนำพาจิตดวงนี้ ไปสู่ความสงบได้ แล้วเราก็ต้องฝากเป็นฝากตายไปกับคำว่า “พุทโธ” ให้มีความเชื่อมั่นลงไปในคำว่า “พุทโธ” ตั้งหน้าตั้งตาบริกรรมอยู่เป็นเนืองนิจ ให้มากให้ยิ่ง จิตของเราก็แนบสนิทกับคำว่า “พุทโธ” มีความคุ้นเคยกับการบริกรรมกับกิจการภาวนา จิตที่เคยดิ้นรน แส่ส่าย ไปกับความนึกคิดปรุงแต่งทั้งหลาย อันเป็นความเคยชินของจิตที่ไม่ได้รับการอบรม แต่พอเมื่อเราได้รับการอบรมแล้ว จิตดวงนี้ได้รับการอบรม กับคำบริกรรมว่า “พุทโธ พุทโธ” จิตก็ค่อยๆน้อมแนบแน่น น้อมเข้ามากับพุทโธมากขึ้น อารมณ์เรื่องราวต่างๆทั้งหลาย ที่ก่อเกิดเข้ามาครอบงำจิต เพราะจิตดวงนี้แส่ส่าย วิ่งไปตามความนึกคิดปรุงแต่ง เป็นเรื่องราวทั้งหลายมากมายก่ายกองที่เคยครอบงำจิต สิ่งทั้งหลาย อารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น ก็จะมีแต่จางออกไป จางออกไป เพราะจิตอยู่กับคำว่า “พุทโธ” อย่างแนบแน่น ไม่ส่งออกไปสัมผัส รับทราบกับความนึกคิดปรุงแต่งกับอารมณ์เรื่องราวต่างๆ ทั้งหลายเหล่านั้น แม้ความนึกคิดปรุงแต่งอารมณ์เรื่องราวต่างๆทั้งหลายเหล่านั้น เขามีอยู่โดยธรรมชาติของเขาก็ตาม แต่เมื่อจิตไม่ได้แส่ส่ายออกไปเกาะเกี่ยวกับเขา แม้เขามีอยู่ ก็ไม่ได้มีอยู่ในความรู้สึกของจิต จิตก็จะอยู่กับคำบริกรรม “พุทโธ พุทโธ” ได้อย่างแนบแน่น นับวันที่เราประกอบความพากความเพียรด้วยการบริกรรมภาวนาคำว่า “พุทโธ พุทโธ” บ่อยเข้า บ่อยเข้า จิตก็จะแนบสนิทอยู่กับคำว่า “พุทโธ พุทโธ” ได้มากขึ้น ๆ
จิตที่แนบสนิทอยู่กับคำว่า “พุทโธ” นั้นแล จะมีความละเอียดมากขึ้นๆ จะเด่นชัด อยู่ในความรู้สึกของจิตเอง เมื่อจิตไม่ได้ออกไปเกาะเกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งทั้งหลาย อันเคยเกาะเกี่ยวครอบงำอยู่ภายในจิตในใจนั้น จิตอยู่กับคำว่า “พุทโธ พุทโธ” อย่างต่อเนื่อง จิตนั้นก็จะมีความละเอียดเข้าไป ความละเอียดของจิตนี้แล เราจะสัมผัสถึงความสบายอกสบายใจ เราจะสัมผัสถึงความผ่องใส ที่จะเข้ามาหล่อเลี้ยงจิต หล่อเลี้ยงใจแทนที่อารมณ์ต่างๆทั้งหลาย ที่เคยครอบงำจิตแต่ไหนแต่ไรมานั้น เพราะฉะนั้น เราก็จะเริ่มเห็นคุณค่าของการภาวนาขึ้นมา เมื่อเรามาภาวนา ภาวนาแล้วจิตอยู่กับคำบริกรรม “พุทโธ พุทโธ” ได้อย่างต่อเนื่อง เราจะสัมผัสถึงความสบายอก สบายใจ ชนิดที่ว่า เราไม่เคยได้สัมผัสมาเลยแต่เก่าก่อน ทั้งๆที่พวกเราก็ปรารถนาความสุข ปรารถนาความสบาย ที่เราพากันดิ้นรน ทะเยอทะยานแสวงหามานั้น ก็ด้วยการคาดหมายว่า ถ้าเรามีสิ่งนั้นได้สิ่งนั้น เป็นอย่างนั้นแล้ว เราจะมีความสุข ความสบาย เราก็พยายามดิ้นรนขวนขวายแสวงหาสิ่งเหล่านั้น แต่เมื่อเราได้สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมา เราไม่เคยได้สัมผัสกับความสบายอกสบายใจ ประดุจดั่งที่เกิดจากการ “ภาวนา” นี้เลย
เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เราเองจะเป็นผู้ยืนยันคุณค่าของการภาวนา ว่าการภาวนานี้แลจะเป็นสิ่งที่นำความสุขมาสู่ตัวของเราเองอย่างแท้จริง และ ความสุขของเราเองนั้น มันอยู่ที่ “จิตใจ” มันไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย แต่หลักสำคัญก็คือ การเอาร่างกายนี้ล่ะมาเป็นเครื่องมือในการอบรมจิตอบรมใจดวงนี้ ด้วยการนำพาไปเดินจงกรม นำพาไปนั่งภาวน นำพาไปประกอบคุณงามความดีทั้งหลาย อันจะเป็นการปูพื้นฐานให้แก่จิตแก่ใจดวงนี้ ให้มีความเบิกบานมีความผ่องใส เพราะการกระทำของเราเอง เพราะฉะนั้น เมื่อเราหมั่นมาอบรมจิตอบรมใจของเราเอง ด้วยจิตตภาวนา จิตนี้เบิกบาน จิตนี้ผ่องใส มีธรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงแล้ว จิตดวงนี้จะเห็นคุณค่าเห็นประโยชน์ต่อสรรสาระต่อการทำคุณงามความดีทั้งหลาย เพราะเห็นชัดเจนเลยว่า การที่เรามาอยู่กับเรือนกายนี้ อยู่เพียงเพื่ออยู่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ อย่างเก่งก็ไม่เกินร้อยปี จากนั้นก็ต้องจากกัน จิตดวงนี้ก็ต้องจากกายนี้ กายนี้ก็ต้องจากจิตดวงนี้ แต่กายนี้ไม่ได้จากไปไหน หากแต่ไปสู่สภาพเดิมของเขา คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เขาเกิดอยู่บนโลก เขาอยู่บนโลก แล้วก็จากไปอยู่บนโลกนี้เอง มิได้สาบสูญไปไหน
ส่วนจิตดวงนี้ก็คงยังเป็น “จิต” เมื่อตราบใดก็ตาม “จิต” นี้ยังมีเชื้อของการเวียนว่ายตายเกิด คือ มีเชื้อของ “อวิชชา” ครอบงำอยู่ตราบใดแล้ว จิตดวงนี้ก็จะไปก่อเกิด ยึดเอาเรือนกายต่อไป ต่อไป อย่างไม่มีที่สิ้นสุด จนกระทั่งเราเอง สามารถชำระ หรือ อบรม “จิต” อบรม “ใจ” ให้หลุดจากสิ่งที่ครอบงำจิตใจดวงนี้ มี “อวิชชา” เป็นต้น หมดสิ้นแล้ว จิตดวงนี้ก็ถึงจะความบริสุทธิ์ เมื่อคราว เมื่อถึงเวลานั้นแล จะเป็นวันที่เราปลดเปลื้อง “วัฏฏะ” ออกจากจิตจากใจของเราได้อย่างแท้จริง แต่ตราบใดก็ตาม ที่จิตดวงนี้ยังไม่หมดเชื้อของการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว การอบรมจิตอบรมใจของเราตั้งแต่เบื้องต้นที่แสดงมานั้น จะเป็นหลักยืนยันถึงความมั่นคงของจิตดวงนี้ได้อย่างแท้จริง เพราะจิตดวงนี้ได้รับการอบรมดีแล้ว ย่อมนำพาเราไปสู่ความดีงามอยู่ตลอด เพราะเห็นคุณค่าของการกระทำนั้นแล้ว
เมื่อการที่เราดำรงชีวิตอันประกอบกิจด้วยคุณงามความดี เป็นบุญเป็นกุศล บุญกุศลทั้งหลายที่พวกเราได้กระทำบำเพ็ญแล้วนั้น ไม่ว่าจะบำเพ็ญทางกาย ทางวาจา ทางใจ สิ่งนั้นก็จะรวมไปสู่จิตสู่ใจของพวกเราเอง แม้เราจะมองไม่เห็นก็ตาม เราจะสัมผัสไม่ได้ถึงบุญทั้งหลายเหล่านั้นก็ตาม แต่เราจะปฏิเสธว่าบุญทั้งหลายเหล่านั้นไม่มีก็ไม่ได้ เปรียบประดุจเหมือนเรารับประทานอาหารอิ่ม แม้ความอี่มของเรานั้น ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อ เราไม่สามารถจับต้องด้วยมือไม้ของเราก็ตาม แต่เราก็ปฏิเสธความอิ่มของเราไม่ได้ เพราะเรารับทราบความอิ่มด้วยจิตของเรานั่นเอง บุญกุศลที่เราทั้งหลายที่เราได้สะสมไว้แล้ว รวมเข้าสู่จิตสู่ใจของเราก็เช่นกัน แม้เรามองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่เราก็สัมผัสถึงความสบายอกสบายใจ เราสัมผัสถึงความเบิกบาน ความผ่องใส ถึงบุญที่หล่อเลี้ยงภายในจิตในใจของพวกเรานั่นเอง และ บุญที่พวกเราได้กระทำบำเพ็ญอยู่เป็นเนืองนิจนั้น รวมเข้าสู่หัวจิตหัวใจของเรา บุญทั้งหลายเหล่านั้นก็จะสะสมรวมกันเป็น “บุพเพกตปุญญตา” ดังที่กล่าวขึ้นมาในภาษิตเบื้องต้นนั้นว่า บุพเพกตะปุญญะตา เอตัมมังคละมุตตะมัง ที่มีมาในมงคลสูตร 38 ประการ ที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวไว้นั้น มีมงคลนี้ข้อหนึ่ง ความว่า การได้สั่งสมบุญไว้นั้น เป็นมงคลอันสูงสุด เพราะการได้สั่งสมบุญไว้นี้แล ที่จะเป็นตัวจำแนกแยกแยะพวกเราให้ไปในทางดีอย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้น เราจะเห็นอย่างชัดเจนว่า พวกเรานั้น แม้การดำเนินชีวิตของพวกเรา จะมีความปรารถนาอย่างเดียวกันก็ตาม แต่ความก้าวหน้า หรือ ความสำเร็จ ล้วนแต่มีความแตกต่างหลากหลาย มากมาย ก่ายกอง ไม่มีความเสมอกันเลยสักคนหนึ่ง เพราะในการสะสมบุญ หรือ สะสมบาปของพวกเรานั้น มันมากน้อยแตกต่างกันนั่นเอง เมื่อบุญที่เราสะสมไว้ มีมาก ผลแห่งบุญนั้น ย่อมส่งเสริมเราไปในทางความมั่นคง ความก้าวหน้า ในการดำรงชีวิต จนต่อไปถึงกับการเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ ก็จะเป็นภพที่ดีเป็นภพงามยิ่งๆขึ้นไป จนกระทั่งเราสามารถมาอบรมจิตอบรมใจของเรา ชำระกิเลสทั้งหลายที่ครอบงำอยู่ภายในจิตในใจให้หลุดร่วงออกไปด้วยความภาคความเพียรของเรานั้น เมื่อเราสามารถชำระจิตใจของเราจนถึงซึ่งความบริสุทธิ์แล้ว นั่นแลเราถึงจะอยู่เหนือบุญเหนือบาปทั้งหลายอย่างแท้จริง
แต่ตราบใดก็ตาม เรายังไม่สามารถไปถึงจุดหมายปลายทาง เรายังไม่สามารถอยู่เหนือบุญเหนือบาปได้ เราก็ยังไม่ควรประมาทนอนใจ ควรอย่างยิ่งที่จะต้องพากเพียรสะสมบุญไว้ เพราะชีวิตของพวกเรานั้น เรายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกหลายภพหลายชาติอย่างแน่นอน ก็เมื่อเรายังเวียนว่ายตายเกิดอีกก็ตาม เราก็ควรให้แน่ใจมั่นใจการเวียนว่ายตายเกิดของพวกเราเองว่าจะไม่ต่ำทรามกว่าในปัจจุบันนี้ จะมีแต่ยกให้สูงเด่นขึ้น สูงเด่นขึ้น จนกระทั่งสู่จุดหมายปลายทาง คือ มรรค ผล นิพพาน เพราะถ้าหากว่าพวกเราไม่พากันระมัดระวัง ปล่อยชีวิของพวกเราให้การเวียนว่ายตายเกิดของเราตกต่ำลงไป ตกต่ำลงไป เรามาพิจารณาว่า เราจะจมในกองทุกข์มากขนาดไหน เพียงแค่เรามาพิจารณาการเกิดของเราในปัจจุบันนี้ จนกระทั่งดำเนินชีวิตมาถึงทุกวันนี้นั้น เราผ่านทุกข์มากมายก่ายกองขนาดไหน มันมีทุกข์มากมายก่ายกองขนาดไหน ที่มาครอบงำกาย ครอบงำใจของพวกเรา
นี่ขนาดว่าเราอุบัติเกิดขึ้นมา มีความพร้อม มีความสมบูรณ์ดังเช่นปัจจุบันนี้ เรายังต้องจมกองทุกข์ ถูกความทุกข์ครอบงำเรามามากมายก่ายกอง แล้วถ้าภพชาติของเราต่ำทรามกว่าปัจจุบัน เช่น ถ้าต่อไปเราเกิดมาทุกข์ยากอดจนกว่าในปัจจุบัน เราเกิดมาได้รูปร่างกลางตัวที่พิกลพิการ ใบ้บ้า ตัวแขนขาลีบขาขาด เราจะทุกข์มากขนาดไหน ยังไม่พอ ถ้าเราเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ เป็นเปรต อสุรกาย เราจะต้องจมกองทุกข์อีกเท่าไหร่ มันคำนึงถึง คาดหมายไม่ได้เลย เราท่านทั้งหลาย จึงไม่ควรประมาท ไม่ควรนอนใจ ถ้าเราท่านทั้งหลาย ไม่ประมาทแล้ว ให้รีบเร่งสั่งสมบุญไว้ในปัจจุบันนี้ สะสมบุญไว้ เป็น “บุพเพกตปุญญตา” เมื่อพวกเราหมั่นสะสมบุญไว้ บุญนี้แลจะเป็นที่พึ่ง เป็นที่ยึด ฝากเป็นฝากตายของเราได้ เพราะบุคคลที่สะสมบุญไว้แล้วนั้น บุญนั้นย่อมพาชีวิตของบุคคลผู้นั้น ไปสู่ความสุข สู่ความเจริญ สู่ความก้าวหน้าในการดำเนินชีวิต แม้ถึงเวลาที่จะเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ ก็จะเป็นภพที่ดี คติที่งามได้อย่างตลอดไปแน่นอน
เพราะฉะนั้น พวกเราท่านทั้งหลาย ในโอกาสนี้ที่พวกเราได้มีโอกาสมาร่วมกัน สร้างบุญขึ้นมา จากการสร้างอาคารโรงพยาบาลแห่งนี้ ร่วมกับหลวงพ่อบุญทันฯ จึงนับว่า เป็นการสั่งสมบุญอันประเสริฐยิ่งของพวกเราท่านทั้งหลาย เมื่อพวกเรามีความยินดี กับ มีความพร้อมในการร่วมไม้ร่วมมือกับหลวงพ่อบุญทันฯ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว เชื่อเถอะว่า ความสำเร็จเกิดขึ้นมาขึ้นเมื่อไหร่ พวกเราท่านทั้งหลาย จะมีความภูมิอกภูมิใจในผลงานของตนเองอย่างแน่นอน แม้พวกเราคราวใดก็ตาม พวกเรามีความเจ็บไข้ได้ป่วย หรือ แม้นญาติพี่น้องของเราก็ตามมีความเจ็บไข้ได้ป่วย เราก็จะมีสถานที่ คือ ตึกนี้ หรือ เครื่องไม้เครื่องมือในโรงพยาบาลนี้ หรือ หมอในโรงพยาบาลนี้ เป็นที่พึ่ง เป็นที่ฝากความหวังของเราได้ไว้อย่างแท้จริง แม้พวกเราไม่ได้มีความเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ได้ต้องมาอาศัยตึกหลังนี้ โรงพยาบาลนี้ หรือ เครื่องไม้เครื่องมือที่นี่ก็ตาม แต่บุคคลมากมายก่ายกองที่เขาจะได้มาพึ่งพาอาศัยโรงพยาบาลนี้ ตึกหลังนี้ และ หมอที่นี่ ก็นับว่าจะเป็นบุญเป็นกุศลเกิดแก่พวกเรา ที่ริเริ่มบุกเบิกก่อสร้างให้เกิดตึกหลังนี้ขึ้นมาได้อย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัยเลย เพราะฉะนั้นการกระทำของพวกเราท่านทั้งหลาย ให้พวกเราท่านทั้งหลาย มีความยินดี มีความพอใจในการกระทำของตนเอง เพราะการกระทำของท่านทั้งหลายในขณะนี้นั้น เป็นไปตามหลักธรรมหลักวินัย ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศสอนสาวกทั้งหลายไว้แล้วว่า ท่านทั้งหลายจงยังประโยชน์ตน และ ประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด
บัดนี้ พวกเราท่านทั้งหลาย ก็ไม่ประมาทในชีวิตของพวกเราเอง เพราะชีวิตของพวกเรามีแต่ค่อยๆเสื่อมไป เสื่อมไป อย่างแน่นอน พวกเราจึงมาตื่นเนื้อตื่นตัว ในการร่วมกัน ทำคุณงามความดี ให้ก่อเกิดประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ด้วยความไม่ประมาท ก็เชื่อเถอะว่า การกระทำของพวกเรานี้แล ที่จะเป็นเหตุนำความสุข ความเจริญ มาสู่พวกเราทุกท่าน ทุกคน ได้อย่างแท้จริง อย่างไม่ต้องสงสัยเลย ก็ขออนุโมทนาในการกระทำของพวกเราทุกท่าน ทุกคน ที่มีองค์หลวงปู่บุญทันฯเป็นผู้นำในการกระทำครั้งนี้ ขอด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย อันมีพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ และ สังฆานุภาพ ตลอดทั้งอานุภาพแห่งบุญกุศลทั้งหลาย ที่พวกเราได้ร่วมทำบำเพ็ญแล้วนี้ จงมาเป็นพลังอำนวยอวยชัยให้พวกเราท่านทั้งหลาย ประสบแต่ความสุข ความเจริญ ก้าวหน้า มั่นคง ในการดำเนินชีวิต ในการประกอบกิจการทุกสี่งทุกประการ ให้มีแต่ความสำเร็จมีแต่ความก้าวหน้า มีแต่ความมั่นคงตลอดไป แม้การปฏิบัติธรรม ก็ขอให้ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้เจริญในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้ายิ่งๆขึ้นไป จนกระทั่งสามารถก้าวไปสู่มรรค ผล นิพพาน ด้วยกันทุกท่านทุกคน หากแม้ท่านทั้งหลายได้ตั้งจิตเจตนาปรารถนาสิ่งใดไว้แล้วในชีวิตที่เป็นไปโดยชอบประกอบด้วยธรรมก็ขอความปรารถนาทั้งหลายเหล่านั้น จงสำเร็จ จงสำเร็จ และ จงสำเร็จ ด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี