ช่วงปลายเดือน พ.ค. 2564 ที่ผ่านมา ภาคีโคแฟค ประเทศไทย ร่วมกับอีกหลายองค์กร จัดงานเสวนา (ออนไลน์) เสวนานักคิดดิจิทัลครั้งที่ 16 กาลามสูตรในยุคดิจิทัล : เส้นแบ่งบางๆระหว่างความจริงและความเชื่อ Digital Thinkers Forum #16 “How to draw a thin line between facts & faith in digital age? ซึ่งเริ่มต้นด้วยปาฐกถาในหัวข้อ “หลักกาลามสูตรเพื่อสันติในยุคดิจิทัล” โดย พระมหานภันต์ สนฺติภทฺโท ประธานกรรมการมูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (สกพ. IBHAP) พาย้อนกลับไปยังสมัยพุทธกาลเมื่อกว่า 2,500 ปีก่อน
พระมหานภันต์ กล่าวว่า กาลามสูตร หรือที่ในพระไตรปิฎกเรียกว่า เกสปุตตสูตร มาจากเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรม ณ หมู่บ้านเกสปุตตนิคม ส่วนคำว่า กาลามสูตรมาจาก กาลามะ ที่เป็นวงศ์ตระกูลในหมู่บ้านนั้น โดยมีทั้งหมด 10 ข้อ หากใช้ตามสำนวนกวีของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ จะมีดังนี้ 1.ฟังตามกันมาอย่าได้เชื่อ 2.ทำกันทุกเมื่อเชื่อไม่ได้ 3.ตื่นข่าวป่าวมาอย่าเชื่อไป 4.อย่าไว้ใจแม้แต่ตำรา 5.อย่าเชื่อเพราะเดาเอาเองเล่น 6.กะเกณฑ์คาดคะเนไว้ล่วงหน้า 7.เพราะนึกตรึกตรองหรือตรวจตรา 8.เพราะว่าต้องตามธรรมเนียมตน 9.อย่าเชื่อเพราะเพื่อควรเชื่อเขา และ 10.ครูเราแท้ๆ มาแต่ต้นก็ใช่จักเชื่อได้น้ำใจคน จงเชื่อผลเชื่อเหตุสังเกตเทอญ
ในการแสดงธรรมของพุทธเจ้าที่หมู่บ้านเกสปุตตนิคมก็มีทั้งผู้ที่ได้พบพระพุทธเจ้าแล้วพนมมือไหว้ด้วยความเคารพ คนที่กล่าวคำทักทายแบบทั่วไป และคนที่เพียงเข้ามาแนะนำตนเองแล้วก็หลีกไปอีกทางหนึ่ง รวมถึงแต่ละคนต่างเอาแต่ประกาศวาทะของตนเองและกระทบกระเทียบวาทะของผู้อื่น นั่นเป็นเพราะคนแต่ละคนจะมีท่าทีต่อสิ่งใดแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าคนคนนั้นรู้สึกกับสิ่งนั้นอย่างไร ซึ่งก็เหมือนกับยุคปัจจุบันที่คนแต่ละคนมีท่าทีต่อรัฐบาล ต่อฝ่ายค้าน หรือต่อบุคคลต่างๆ แตกต่างกัน และต่างก็โจมตีความคิดอื่นที่ต่างไปจากของตนเอง
พระมหานภันต์ ยังกล่าวด้วยว่า ในการสอนเรื่องกาลามสูตรหรือเกสปุตตสูตรนั้น พระพุทธเจ้า ยกเรื่องกิเลส“โลภ โกรธ หลง” เป็นตัวอย่างประกอบการอธิบาย โดยชวนชาวหมู่บ้านเกสปุตตนิคมพิจารณา 3 ประการ 1.รู้ด้วยตนเอง 2.ผู้รู้ติเตียน 3.ดูตัวอย่างจากคนอื่นที่เคยทำมาแล้ว ซึ่งทำให้เห็นภาพว่า ทั้งความโลภ ความโกรธและความหลง เป็นสิ่งที่ทั้งผู้รู้ติเตียน และเมื่อเห็นผู้อื่นที่ตกอยู่ในห้วงกิเลสดังกล่าวก็พบว่ามีแต่ความทุกข์ อนึ่ง พระพุทธเจ้ายังสอนให้เปิดรับฟังมุมมองทุกด้าน (สุตมยปัญญา) ควบคู่ไปกับการใช้ปัญญาพิจารณา (โยนิโสมนสิการ) ว่าข้อมูลใดเป็นประโยชน์หรือโทษ และสมควรสื่อสารข้อมูลนั้นออกไปหรือไม่
“จะเห็นว่าหลักกาลามสูตรที่พระพุทธเจ้าสอนมันคือหลักคำสอนที่เป็นไปเพื่อสันติทั้งทางใจ ทางกาย วาจา และเหนือไปกว่านั้นคือทางสังคม เพราะในตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าถามว่าคนโลภ คนโกรธ คนหลง ก็จะทำผิดศีล ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม โกหกคนอื่น และสุดท้ายสังคมก็วุ่นวาย แต่เมื่อไม่มีโลภ โกรธ หลง อันนี้ถึงจะนำไปสู่สันติทั้งกาย วาจา ใจ และสังคม” พระมหานภันต์ กล่าว
จากนั้นเป็นการเสวนาในหัวข้อ “อะไรคือเส้นแบ่งบางๆระหว่างความจริงและความเชื่อ” โดยวงเสวนานี้มีวิทยากร 2 ท่านที่สะท้อนมุมมองทางศาสนา คือ คุณพ่ออมรกิจ พรหมภักดีอุปมุขนายกสังฆมณฑลสุราษฎร์ธานี และกรรมการอำนวยการสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย ให้ความเห็นว่า หากถามว่ามนุษย์ควรเชื่ออะไรหรืออะไรที่เชื่อถือได้ ในยุคสมัยที่มีข้อมูลจำนวนมาก ในมุมของศาสนาคริสต์นั้นมุ่งเน้นให้แยกแยะความดี-ความชั่ว ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นจุดร่วมที่ทุกศาสนาสอน และการสื่อสารควรเป็นไปเพื่อความดีที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องระมัดระวัง คือการนำความเชื่อมาเป็นเครื่องมือเพื่อความจริงเฉพาะในแบบที่ตนเองต้องการ
“หากเรายึดมั่นในความเชื่ออย่างเดียวก็ไม่พอ ใช้ศรัทธามาเป็นเครื่องมือเพื่อความจริง บางอย่างอาจสูญหายไป ถูกปฏิเสธเพราะขัดกับความเชื่อ ดังนั้นความจริงที่เหลืออยู่ ก็อาจเป็นความจริงที่ถูกนำไปรับใช้เพื่อผลประโยชน์เท่านั้นเพียงบางกลุ่ม”คุณพ่ออมรกิจ กล่าว
ขณะที่ รศ.เสาวนีย์ รุจิระอัมพร-จิตต์หมวด กรรมการบริหารหลักสูตรสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล และ ผู้อำนวยการหลักสูตรการเสริมสร้างสังคมสันติสุข (จชต.) สถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า ศาสนาอิสลามนั้นสอนให้มนุษย์รักการเรียนรู้ ศึกษาค้นคว้าเพื่อแสวงหาความจริง แต่มนุษย์มักเชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง และเมื่อเชื่อแล้วก็นำไปสู่ความแตกแยกในสังคม เช่น มีการสร้างชุดความคิดว่าผู้นับถือศาสนาอิสลามเป็นผู้มีนิสัยดุร้ายและหัวรุนแรง นำไปสู่เหตุการณ์การใช้ความรุนแรงต่างๆ อาทิ กรณีชาวโรฮีนจาในเมียนมา เหตุกราดยิงที่นิวซีแลนด์ เป็นต้น เพราะเมื่อเกลียดชังกันแล้วสันติย่อมเกิดขึ้นไม่ได้
“ทำอย่างไรในการที่เราจะอยู่ร่วมกันตรงนี้ เราจะทำให้มันเกิด Common Space (พื้นที่กลาง) ที่เป็นพื้นที่ที่เป็น Safety Zone (พื้นที่ปลอดภัย) เป็นความปลอดภัยในแง่ของการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ ในการที่เราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข เพราะฉะนั้นก็คงต้องเป็นความร่วมมือในแง่ของศาสนิกชนของศาสนาต่างๆ ในแง่ของการจับมือกัน ทำงานร่วมกันให้มากขึ้น” รศ.เสาวนีย์ กล่าว
ในการเสวนาดังกล่าวยังมีมุมมองจากฆราวาส 2 ท่านคือ สุชัย เจริญมุขยนันทผู้ก่อตั้ง UbonConnect ที่ยก 2 ตัวอย่างมาเป็นอุทาหรณ์ ตัวอย่างแรกมาจากภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เล่าเรื่องภูเขาไฟระเบิด ในภาพยนตร์มีฉากที่สมาชิกในครอบครัวเตรียมอพยพหนีไปยังที่ปลอดภัย เว้นเสียแต่สมาชิกที่เป็นหญิงชราบอกว่าตนเองจะไม่หนีไปไหนเพราะเชื่อว่าภูเขาไฟจะไม่ทำร้ายมนุษย์
กับอีกตัวอย่างคือประสิทธิภาพด้านการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ของวัคซีนยี่ห้อซิโนแวค ที่มีการเก็บข้อมูลในหลายประเทศซึ่งใช้งานวัคซีนดังกล่าว แต่กลับเลือกหยิบข้อมูลเพียงบางประเทศมาสรุปว่าวัคซีนซิโนแวคไม่ดี ว่า การไม่เห็นความจริงทั้งหมดอาจทำให้เกิดความเชื่อที่ผิดพลาด และความเชื่อที่กลายเป็นอคติไปแล้วก็เป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยน ดังนั้นสิ่งที่อยู่ระหว่างความเชื่อกับความจริงคือความเห็น ไม่ว่าจะเป็นความเห็นที่ตั้งอยู่บนความรัก ชัง หลงหรือกลัว มนุษย์จึงควรฝึกสมองให้สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรคือความจริง ความเห็นและความเชื่อ
ปิดท้ายด้วย รณพงศ์ คำนวณทิพย์ ผู้ก่อตั้ง Media Oxygen ที่กล่าวว่า มนุษย์มักเชื่อสิ่งที่ตรงกับความคิดของตนเอง หรือก็คืออคติ ซึ่งการใช้สื่อออนไลน์ (Social Media)จะมีคำว่า ห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber) หมายถึงการได้ยินแต่สิ่งที่เชื่อหรือสิ่งที่ชอบซ้ำๆ ทั้งนี้ ฝากข้อคิดไว้1.คิดก่อนเผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูล ต้องตรวจสอบและหากไม่มั่นใจว่าข้อมูลนั้นถูกต้องก็อย่าส่งต่อหรือเผยแพร่ 2.นำเสนออย่างเที่ยงธรรม ไม่ใช่กล่าวถึงแต่เพียงด้านเดียว และ 3.คำนึงถึงการสร้างไมตรี หลีกเลี่ยงการนำเสนอข้อมูลที่ก่อให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งโดยไม่จำเป็น
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี