เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันพระปกเกล้า จัดเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “ไต้หวัน : บนความขัดแย้งระหว่างยักษ์ทั้งสอง”โดยมี รศ.ดร.สิทธิพล เครือรัฐติกาล ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.)มาเล่าประวัติศาสตร์ไต้หวัน ซึ่งมีชื่อเดิมเป็นภาษาโปรตุเกสว่า “ฟอร์โมซา (Formosa)” โดยไต้หวันก่อนศตวรรษที่ 17 (ปี 2143-2242) ยังไม่มีอาณาจักรใดเข้าครอบครองกระทั่งชาวดัทช์ (ฮอลันดา-เนเธอร์แลนด์) เข้ามายึดครองเป็นเวลา 30 ปี ก่อนจะถูก เจิ้ง เฉิงกง (Zheng Chenggong)แม่ทัพจีนสมัยราชวงศ์หมิง นำกองทัพเข้ามาขับไล่ชาวดัทช์ออกไป
แต่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน เมื่อชาวแมนจูยกทัพเข้ายึดครองแผ่นดินจีนสถาปนาราชวงศ์ชิงขึ้น กลุ่มคนที่ยังจงรักภักดีกับราชวงศ์หมิง ได้อพยพไปอาศัยบนเกาะฟอร์โมซา ที่นั่นได้กลายเป็นฐานที่มั่นในการต่อต้านราชวงศ์ชิงจนถึงปี 2227 จึงถูกกองทัพราชวงศ์ชิงปราบปรามได้สำเร็จ และนั่นเป็นครั้งแรกที่จีนแผ่นดินใหญ่เห็นความสำคัญของไต้หวันในฐานะพื้นที่ความมั่นคง จากเดิมที่ราชวงศ์ก่อนๆ รับรู้การมีอยู่ของไต้หวันแต่ไม่ได้สนใจ ราชวงศ์ชิงได้เปลี่ยนนโยบายด้วยการสถาปนาอำนาจการปกครองขึ้นบนเกาะแทน เพื่อไม่ให้ใครมาใช้เป็นฐานก่อการต่อต้านได้อีก
ต่อมาในศตววรษที่ 19 (ปี 2343-2442) แผ่นดินจีนเผชิญภัยการล่าอาณานิคมจากต่างชาติ อาทิ มหาอำนาจตะวันตกอย่างอังกฤษกับฝรั่งเศส รวมถึงเพื่อนบ้านทางตะวันออกอย่างญี่ปุ่น ทำให้ในปี 2428 จีนได้ยกฐานะไต้หวันจากจังหวัดเป็นมณฑล เพราะเริ่มรับรู้ว่าทั้งฝรั่งเศสและญี่ปุ่นหมายตาเกาะแห่งนี้ โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่เพิ่งผนวกริวกิว (โอกินาวา) เป็นส่วนหนึ่งของประเทศได้หมาดๆ อย่างไรก็ตาม จีนราชวงศ์ชิงรบแพ้ญี่ปุ่นในปี 2437 จึงเสียไต้หวันให้ญี่ปุ่น และชนชาวซามูไรก็ได้ปกครองไต้หวันระหว่างปี 2438-2488 หรือสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
“ไต้หวันภายใต้การปกครองของญี่ปุ่นมีจุดเด่นอย่างไร เราต้องยอมรับว่าญี่ปุ่น Treat (ดูแล) ไต้หวันเสมือนเป็นจังหวัดหนึ่งของญี่ปุ่น ไม่ได้มองเป็นสถานะอาณานิคมการ Treat นี้ราวกับว่าจะทำให้เกาะไต้หวันเป็น Japanese Province (จังหวัดของญี่ปุ่น) ไปด้วย บทบาทของญี่ปุ่นเรื่องของ Modernization (การทำให้เป็นสมัยใหม่) เรื่องของการพัฒนาได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตผู้คนเป็นอย่างมากทำให้คุณภาพชีวิตของประชากรไต้หวันภายใต้การปกครองของญี่ปุ่นดีขึ้นมากกว่าตอนที่อยู่ภายใต้การปกครองของจีน
และเทียบเวลาเดียวกัน 1895-1945 (ปี 2438-2488) ช่วงนี้ไต้หวันอยู่ภายใต้อำนาจของญี่ปุ่น ประชากรไต้หวันมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าประชากรทุกมณฑลของจีนในเวลาเดียวกัน เพราะในเวลาเดียวกันที่ไต้หวันตกอยู่ภายใต้อำนาจญี่ปุ่น ในจีนมันมีสงครามกลางเมือง มีการปฏิวัติ มีสงครามยุคขุนศึก ยุคเจียงไคเช็ค (Chiang Kai-shek) บ้านเมืองวุ่นวายมาก ดังนั้นจะว่าไปแล้ว คนไต้หวันที่มีชีวิตอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น ค่อนข้างจะมองญี่ปุ่นไม่ Negative (แง่ลบ) เท่าไร มีการต่อต้านอยู่บ้างแต่ก็ไม่รุนแรง” รศ.ดร.สิทธิพล กล่าว
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงในปี 2488 และญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้ ไต้หวันได้กลับไปอยู่ภายใต้การปกครองของจีน พบว่าชาวไต้หวันไม่ค่อยพอใจนักเพราะอยู่กับญี่ปุ่นมานาน มีชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่น เรียนหนังสือและใช้ชีวิตแบบชาวญี่ปุ่นจนผูกพันไปแล้ว แต่รัฐบาลจีนภายใต้การนำของเจียงไคเช็ค ประกาศกฎอัยการศึกและใช้อำนาจปราบปรามผู้ประท้วงต่อต้านอย่างรุนแรง โดยอ้างว่าผู้เห็นต่างถูกยุยงปลุกปั่นจากฝ่ายคอมมิวนิสต์ ซึ่งบนแผ่นดินใหญ่ก็กำลังเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนเช่นกัน
จนถึงปี 2492 พรรคก๊กมินตั๋งพ่ายแพ้สงครามกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน เจียงไคเช็คและผู้สนับสนุนต้องลี้ภัยจากจีนแผ่นดินใหญ่ไปตั้งรกรากบนเกาะไต้หวัน ช่วงนี้มีการโต้ตอบกันของ 2 ผู้นำ ในขณะที่ เหมา เจ๋อตุง (Mao Zedong) นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เป็นฝ่ายชนะสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้น บอกว่าสาธารณรัฐจีนของเจียงไคเช็คล่มสลายแล้วและพวกที่อยู่ไต้หวันเป็นกบฏ เจียงไคเช็คกลับแย้งว่าสาธารณรัฐจีนยังไม่ล่มสลาย เพียงแต่ย้ายรัฐบาลมาอยู่ที่ไต้หวันเท่านั้น และจะกลับไปยึดแผ่นดินใหญ่คืนให้ได้สักวันหนึ่ง “ปัญหา 2 จีน” จึงเริ่มขึ้น ณ จุดนี้
รศ.ดร.สิทธิพล เล่าต่อไปว่า ในช่วงแรกๆ ของไต้หวันภายใต้การปกครองของพรรคก๊กมินตั๋ง เป็นยุคที่ยังไม่มีความแน่นอน เพราะที่ สหรัฐอเมริกา นั้นมีข้อถกเถียงว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ควรสนับสนุนเจียงไคเช็คต่อไปหรือไม่เนื่องจากที่ผ่านมาสหรัฐฯ ลงทุนลงแรงไปมากแต่เจียงไคเช็คกลับไม่สามารถทำให้แผ่นดินจีนมีเอกภาพได้ แต่เพราะการเกิดขึ้นของ สงครามเกาหลี ในปี 2493 ทำให้สหรัฐฯหวั่นเกรงการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ในทวีปเอเชียทำให้ในปี 2497 สหรัฐฯ ได้ตัดสินใจที่จะปกป้องไต้หวัน
แต่แล้วในทศวรรษ 1970 (2513-2522) รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการติดต่อกับจีนแผ่นดินใหญ่มากขึ้น ขณะที่จีนเองก็ขัดแย้งกับ สหภาพโซเวียต (รัสเซีย) แม้จะเป็นประเทศคอมมิวนิสต์เหมือนกัน ทำให้ไต้หวันเริ่มเสียที่ยืนในเวทีโลกอย่างต่อเนื่อง ชาติต่างๆ ทยอยถอนการรับรองไต้หวันแล้วหันไปรับรองจีนแผ่นดินใหญ่แทน แม้แต่สหรัฐฯ ที่คุ้มครองไต้หวันตลอดมาก็ทำแบบเดียวกันในปี 2522 แต่ด้วยเหตุบางประการ สหรัฐฯ จึงยังสามารถคุ้มครองไต้หวันมาได้จนถึงปัจจุบัน รวมถึงการขายอาวุธให้ไต้หวันด้วยแม้รัฐบาลจีนจะไม่พอใจก็ตาม
“มันมีความแตกต่างกันระหว่างแถลงการณ์ฉบับภาษาจีนกับภาษาอังกฤษ ฉบับภาษาอังกฤษบอกว่าสหรัฐฯรับรู้ว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน แต่ฉบับภาษาจีนบอกว่าสหรัฐฯ รับรองว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน อันนี้เอกสาร2 ฉบับไม่เหมือนกัน ฝ่ายอเมริกันที่ใช้ภาษาอังกฤษบอกว่ารับรู้แต่ไม่รับรอง อเมริกาบอกว่ารับรู้จุดยืนของจีนว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน
การรับรู้ไม่เท่ากับการรับรอง รับรู้นี่เรา Respect (เคารพ)ความคิดของคุณแต่เราอาจจะไม่เห็นด้วย แต่ในขณะที่เอกสารฉบับภาษาจีน เขียนว่าสหรัฐฯ รับรอง ตอนนั้นถามว่า2 ฝ่ายรับรู้ความแตกต่างของ Wording (ถ้อยคำ) ไหม? ก็รู้แต่ต้องยอมปล่อยผ่าน เพราะตอนนั้นเรื่องการต่อต้านโซเวียตมันเป็นประเด็นปัญหาสำคัญ เพราะตอนนั้นมีปัญหาเวียดนามบุกกัมพูชา แล้วทั้งอเมริกาและจีนก็มองว่านี่มันเป็นแผนการของเวียดนามภายใต้การสนับสนุนของโซเวียตที่จะขยายอำนาจ” รศ.ดร.สิทธิพล ระบุ
ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 (ปี 2523-2532) เป็นต้นมา ไต้หวันเริ่มเปลี่ยนผ่านสู่การปกครองแบบประชาธิปไตยมากขึ้น หลังก่อนหน้านั้นรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งได้ปกครองแบบเผด็จการมายาวนาน ซึ่งมาจากสถานการณ์ของไต้หวันในเวทีโลกที่เปลี่ยนไป และพรรคก๊กมินตั๋งคงไม่อาจนำทัพกลับไปยึดจีนแผ่นดินใหญ่ได้อีก การที่พรรคจะอยู่รอดในไต้หวันได้คือต้องอยู่ในระบบการเมืองแบบหลายพรรค ดังนั้นในปี 2533 รัฐบาลจึงยกเลิกกฎอัยการศึก และในปี 2531 ก็อนุญาตให้ก่อตั้งพรรคการเมืองต่างๆ เกิดขึ้นมาแข่งขันกัน
ผอ.สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มธ. กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า การที่ไต้หวันเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยได้สร้างความปวดหัวให้กับรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่อยู่ไม่น้อยจากเดิมที่จีนจะทำอะไรกับไต้หวันอาจดูตัวแปรเพียงสหรัฐฯ หรือผู้นำไต้หวัน แต่การเมืองแบบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีสิทธิ์มีเสียงนั้นได้นำพาพลเมืองไต้หวันทั้งประเทศเข้ามาเป็นอีกตัวแปรที่สำคัญด้วย
ซึ่งหลังจากนั้นเป็นต้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไต้หวันจะตึงเครียดเป็นระยะๆ ขึ้นอยู่กับพรรคใดเป็นรัฐบาล โดยหากเป็นพรรคก๊กมินตั๋งที่ยังยึดถือจุดยืนเรื่องจีนเดียวและการรวมชาติแม้จะเป็นเรื่องอนาคตอีกยาวไกลก็ตามสถานการณ์ก็จะไม่ร้อนระอุมากนัก เมื่อเทียบกับพรรค DPP ที่มีแนวโน้มไม่ต้องการรวมชาติกับจีนแผ่นดินใหญ่ และจีนมองว่าพรรคก๊กมินตั๋งอย่างน้อยก็มีรากฐานมาจากแผ่นดินใหญ่ในขณะที่พรรค DPP เป็นพรรคที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของไต้หวันที่แยกออกจากจีน!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี