“กรมราชทัณฑ์” หารือร่วมกับ “สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)” ประเด็นแนวทางรับมือสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำ เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2564 ที่ผ่านมา โดยภายหลังการหารือ นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า สถานการณ์ในเรือนจำค่อนข้างดีขึ้น เห็นได้จากจำนวนเรือนจำที่มีผู้ต้องขังติดเชื้อพบว่ามีอยู่ 12 แห่ง จากทั้งหมด 143 แห่ง และทางกรมฯ เองก็มีการตั้งศูนย์ขึ้นมาเพื่อดูว่ามีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นหรือไม่ อย่างไร จากการรับผู้ต้องขังเข้าใหม่ รวมถึงผู้ต้องขังที่ติดเชื้อแล้วรักษาจนหายดีมีเท่าไร
“ตัวเลขผู้ต้องขังที่หายแล้วมีค่อนข้างสูงขึ้นตามตัวเลขที่ได้รับรายงานมา ส่วนผู้ต้องขังที่เสียชีวิต ทางกรมราชทัณฑ์ตั้งเป้าว่าจะให้สูญเสียน้อยที่สุด ฉะนั้นเราจะค้นก่อนเลยว่าถ้ามีผู้ต้องขังติดเชื้อ เราจะเอาออกมาเอกซเรย์ปอดเร็วก่อน เพื่อให้ดูปอดว่าติดเชื้อหรือไม่ พอเจอเชื้อก็ให้ยาฟาวิพิราเวียร์ก่อนเพื่อที่จะลดการสูญเสีย และจัดเป็นสีแดง สีเหลือง สีเขียว เพื่อให้เห็นตัวเลขชัดเจน” นายอายุตม์ กล่าว
อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับผู้ต้องขังเข้าใหม่ ได้จัดสถานที่เป็นเรือนจำชั่วคราว เช่น ผู้ต้องขังที่ต้องเข้าเรือนจำในเขตกรุงเทพฯ อาทิ เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทัณฑสถานบำบัดกลางคดียาเสพติด ทัณฑสถานหญิงกลาง จะใช้เรือนจำชั่วคราวที่ย่านรังสิต จ.ปทุมธานี หรือผู้ต้องขังที่ต้องเข้าเรือนจำในเขตธนบุรี จะใช้เรือนจำชั่วคราวที่ จ.นครปฐม เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ต้องขังเข้าใหม่ที่อาจติดเชื้อนำเชื้อไปแพร่ในเรือนจำหลัก
ส่วนการดูแลผู้ต้องขังที่ติดเชื้อโควิด-19 หากเป็นผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเหลืองและสีแดง จะแยกออกมาดูแลที่โรงพยาบาลทัณฑสถานราชทัณฑ์ ในย่านงามวงศ์วาน หรือที่เรือนจำกลางบางขวางที่มีโรงพยาบาลอยู่แล้วภายใน ส่วนกลุ่มสีเขียวจะใช้โรงพยาบาลสนามภายในเรือนจำแต่ละแห่ง และเมื่อรักษาจนหายแล้วโรงพยาบาลก็จะส่งผู้ต้องขังกลับไปเรือนจำตามเดิม
สำหรับผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวเพราะรับโทษครบตามคำพิพากษาของศาลแล้ว ก็จะต้องตรวจสอบก่อนปล่อยว่าติดเชื้อหรือไม่ อีกทั้งมีสถานที่กักตัว เช่น ด้านหน้าเรือนจำกลางคลองเปรม หรืออาคารจำหน่ายสินค้าราชทัณฑ์ โดยจะมีการแยกกักตัว 14 วัน หากไม่พบเชื้อก็จะให้ญาติมารับกลับ แต่หากติดเชื้อก็จะประสานกระทรวงสาธารณสุขมารับไปรักษาต่อไป
“ข้อจำกัดไม่มีอะไรมาก เรือนนอนของเรามีไม่เพียงพอต่อมาตรฐานสากล ที่นอนได้ 2-2.5 ตารางเมตรต่อคน แต่ปัจจุบันเรานอน 1.2 แล้วอยู่ในห้องขังเราพยายามให้ผู้ต้องขังสวมแมสทุกคน แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ต้องทานข้าว อาบน้ำ มีข้อจำกัดค่อนข้างมาก แต่เราก็ได้รับความกรุณาจากศาลยุติธรรมที่ให้ความอนุเคราะห์ในการประกันตัวหรือปล่อยตัวชั่วคราว อันนี้ก็จะลดภาระแบ่งเบาผู้ต้องขังในระหว่างการพิจารณาคดีไปได้บางส่วน” นายอายุตม์ ระบุ
ด้าน น.ส.พรประไพ กาญจนรินทร์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ กสม. เห็นว่าต้องเข้ามาร่วมรับทราบข้อมูลเพื่อนำไปสื่อสารกับประชาชน ซึ่งการบริหารจัดการของกรมราชทัณฑ์ ได้ตอบสนองต่อความห่วงใย โดยเฉพาะผู้ที่มีญาติเป็นผู้ต้องขัง ให้ได้ทราบว่าทางราชทัณฑ์ได้บริหารจัดการอย่างครบถ้วนตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น
ซึ่งเมื่อมาแล้วก็ได้รับทราบข้อมูลที่ครบถ้วนมากกว่าการรับฟังข้อมูลจากภายนอก ว่าแม้จะมีทรัพยากรที่จำกัด อีกทั้งจำนวนผู้ต้องขังยังมากกว่าอาคารสถานที่ที่สามารถรองรับได้ แต่ทางราชทัณฑ์ได้บริหารจัดการอย่างมีคุณภาพ ก็ต้องให้กำลังใจกัน และช่วยให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป อย่างไรก็ตาม ตนเป็นห่วงประเด็นระยะยาวมากกว่า นั่นคือปัญหาความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำ
“ต้องดูในระยะยาว ทำอย่างไรจะลดปริมาณผู้ต้องขังได้ โดยวิธีการต่างๆ บางคนซึ่งไม่ควรจะมาต้องขังระหว่างรอคำพิพากษาแล้ว หรืออะไรต่างๆ ก็จะมีวิธีการอย่างไรที่จะช่วยลดประมาณนักโทษ กระบวนการยุติธรรมบางอย่างที่จะใช้ลงโทษทางเลือกจะทำอะไรได้อย่างไรบ้าง คงเป็นเรื่องของระยะยาวมากกว่า ซึ่งก็คงต้องคุยกันต่อไป” ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าว
ขณะที่ นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวเสริมว่า กสม. เป็นห่วงสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเรือนจำมีอัตราการติดเชื้อสูงเนื่องจากสถานที่ค่อนข้างแออัด จึงอยากเข้ามาดูเรื่องสิทธิผู้ต้องขังรวมถึงการได้รับวัคซีน และจากการพบกับอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ทำให้ได้รับทราบข้อมูล ที่พบว่า การทำงานอย่างแข็งขันทำให้สามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อลงได้
อย่างมาก
“เฉพาะหน้าเราก็มาดูแลเรื่องการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องขังในสถานการณ์โควิด แล้วก็คิดว่าการลดความแออัดของเรือนจำเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งที่ผ่านมา
มีการลดจาก 370,000-380,000 คน ลงมาเหลือ 310,000 คน ตรงนี้ก็คิดว่าเป็นแนวทางหนึ่งที่จะรับมือ แต่ว่าสำคัญที่สุดก็คือระยะยาวที่เราจะทำงานกันในเชิงของนโยบาย อาจจะต้องมีการแก้กฎหมาย ทำให้คนเข้ามาติดคุกหรือว่าอยู่ในเรือนจำลดน้อยลง และโทษอาญาบางอย่างที่ไม่จำเป็นก็อาจจจะต้องตัดไป งานในเชิงโครงสร้าง ในเชิงกฎหมาย คงจะต้องประสานกันอย่างใกล้ชิด แล้วก็ช่วยกันผลักดันเพื่อแก้ปัญหาในเชิงระบบ” นายวสันต์ กล่าวในท้ายที่สุด
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี