“จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าเด็กใช้เวลานั่งมากกว่า 13 ชม.ต่อวัน เป็นเหมือนกันทั่วโลก แต่ในสถานการณ์โควิด พบว่าเด็กต้องนั่งนานขึ้น 14 ชม.เพราะต้องอยู่หน้าจอ โดยองค์การอนามัยโลกระบุว่า เด็กต้องขยับร่างกายอย่างน้อย 60 นาทีต่อวันซึ่งเด็กไทยมีค่าเฉลี่ยในการขยับร่างกาย ร้อยละ 26 ในภาวะปกติ แต่เมื่อมีโควิด ค่าเฉลี่ยในการขยับเขยื้อนร่างกายลดลงเหลือเพียง ร้อยละ 17 โดยเป็นแบบเดียวกันทั้งโลกซึ่งส่งผลระยะยาวเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ จะติดพฤติกรรมไม่ขยับเขยื้อนร่างกาย”
นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวในวงเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “แนวทางส่งเสริมสุขภาพเด็กในช่วงเรียนออนไลน์” เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งเมื่อเด็กขยับร่างกายลดลง พฤติกรรมดังกล่าวจะติดตัวไปจนเป็นผู้ใหญ่ จึงแนะนำให้เด็กทำกิจกรรมในบ้าน ให้เด็กเคลื่อนไหวร่างกาย ครูปรับเปลี่ยนการเรียนการสอน ระหว่างเรียนให้มีช่วงพักเบรกเข้าห้องน้ำ พ่อแม่ชวนลูกทำงานบ้าน ออกกำลังกายพร้อมกับลูก เมื่อเรียนจบชวนลูกมาถกประเด็นวิเคราะห์ในเนื้อหาที่เรียน เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมกันในครอบครัว
ทั้งนี้ มุมบวกอีกด้าน การที่ลูกอยู่บ้านเป็นโอกาสที่พ่อแม่จะเล่านิทาน หรือคุยกับลูกได้มากขึ้น ซึ่งการเล่นยังช่วยพัฒนาสมองของเด็ก เมื่อเด็กขยับร่างกายจะทำให้มีสติปัญญา ไอคิวและอีคิวดีขึ้น โดยมีงานวิจัยระบุว่าการเล่นมีผลต่อการเรียนดีขึ้น มีปฏิสัมพันธ์ภายในห้องเรียนดีขึ้น ลดภาระครู แต่ระหว่างการเล่น ต้องป้อนข้อมูลสาระความรู้ใส่สมอง ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ไกลขึ้น
ขณะที่ ผศ.พญ.แก้วตา นพมณีจำรัสเลิศ รองผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เมื่ออยู่หน้าจอมากจะมีปัญหาเรื่องสายตา เพราะกะพริบตาน้อยลง จึงแสบตา ปวดหัว และนั่งท่าเดียวตลอดเวลาทำให้ปวดเมื่อยและเมื่อต้องเรียนอยู่ที่บ้าน ทำให้เด็กกินอาหารได้ตามใจชอบจนอ้วน พบว่าภาพรวมค่าดัชนีมวลกาย หรือ BMI ของเด็กสูงขึ้น อีกทั้งบางครั้งไม่ได้รับประทานอาหารเช้า ธาตุอาหารที่จะทำให้สมองเด็กเติบโตมาจากธาตุเหล็ก ซึ่งมาจากเนื้อสัตว์และผัก
ซึ่งโภชนาการสำคัญมากช่วงวัยเด็ก เมื่อเด็กอ้วนส่งผลต่อผู้ใหญ่ เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคความดัน หัวใจ และเบาหวาน นอกจากนี้เป็นห่วงเรื่องการนอนของเด็กที่ต้องระวัง เมื่อนอนไม่พอ ตื่นมาไม่สดชื่นไม่อยากเรียน ดังนั้นการเรียนออนไลน์ควรลดเวลาเรียนเหลือ 40 นาที พัก20 นาที การเรียนออนไลน์ของโรงเรียนควรแบ่งนักเรียนเป็น2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มที่พ่อแม่พร้อมสอน กับ 2.กลุ่มพ่อแม่ต้องทำงานและเด็กอยู่กับผู้สูงอายุ ซึ่งครูควรไปเยี่ยมหรือโทรศัพท์คุยกับผู้ปกครองของเด็กกลุ่มหลังเป็นพิเศษ
“อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ที่พ่อแม่อยู่บ้าน สามารถสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับลูกได้ เมื่อเด็กมีความเครียดพ่อแม่ควรรับฟัง และสื่อสารกับลูกหาทางออกร่วมกัน จะช่วยทำให้เด็กมีทักษะชีวิต มีความเข้มแข็งทางใจมากขึ้น ซึ่งเป็นพลังสำคัญจะส่งผลตอนโต ทำให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ถ้าบรรยากาศในครอบครัวเป็นบวก เด็กจะรู้สึกปลอดภัยที่มีพ่อแม่คอยรับฟังปัญหา” ผศ.พญ.แก้วตา กล่าว
ผศ.ดร.ปิยวัฒน์ เกตุวงศา หัวหน้าศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า จากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เกิดผลกระทบในวงกว้าง จนเด็กและเยาวชนต้องปรับเปลี่ยนมาเรียนออนไลน์ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เคยเปิดห้องพูดคุยในคลับเฮาส์ เพื่อสำรวจความคิดเห็นของเด็กในช่วงเรียนออนไลน์ แล้วต่อยอดสำรวจความคิดเห็นของเด็กประถมศึกษา และมัธยมศึกษาทั่วประเทศจำนวน 300 คน เมื่อเดือน ก.ค. 2564
พบปัญหาสำคัญ 7 เรื่อง ได้แก่ 1.เด็กปวดตา เพราะนั่งนาน เนือยนิ่ง 2.มีความเครียด โดยเฉพาะนักเรียนที่จะขึ้นช่วงชั้นรอยต่อ ป.6 เข้าเรียนชั้น ม1.หรือ ม.6 เข้ามหาวิทยาลัย มีเสียงสะท้อนออกมา จะไม่มีโปรไฟล์ และผลการเรียนยืนยันเพื่อไปเรียนต่อ รวมทั้งกังวลว่าจะไม่สามารถสอบเข้าโรงเรียนดีๆได้ 3.จำนวนการบ้านมากขึ้น ทำให้นอนน้อยลง เพราะบางครั้งหลังทำการบ้านเสร็จ เด็กต้องเล่นมือถืออีกเล็กน้อยก่อนเข้านอน
4.เบื่อหน่าย ไม่อยากเรียน 5.กิจกรรมทางกายน้อยลง6.สภาพแวดล้อมที่บ้านไม่เอื้ออำนวย ทำให้ขาดสมาธิ และ 7.รับประทานอาหารไม่ตรงเวลา จึงเห็นได้ชัดว่าเรียนออนไลน์มีความไม่พร้อมหลายประการ นอกจากปัญหาดังกล่าวแล้ว ยังมีเรื่องโภชนาการในเด็ก อย่างน้อยในกลุ่มเด็กวัยอนุบาลถึงระดับประถมศึกษาเมื่อมาโรงเรียน จะมีอาหารกลางวันที่มีโภชนาการตามวัย และนมโรงเรียนที่เสริมสร้างสมองและร่างกายให้เติบโต
อีกด้านหนึ่ง สนิท แย้มเกษร รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่า ปัญหาโควิด ยาวนานกว่าคิด แม้จะเตรียมรับมือมาตั้งแต่ปลายปี 2562 ส่วนใหญ่เด็กอยากมาโรงเรียน ยกเว้นเด็กมัธยมตอนปลายในโรงเรียนขนาดใหญ่ ที่มีความประสงค์ที่จะเรียนออนไลน์ แต่พบว่ามีเด็กชายขอบ เด็กบนดอย และเด็กที่อาศัยอยู่บนเกาะ นอกจากไม่สามารถเข้าอุปกรณ์เพื่อเรียนออนไลน์ได้ ยังมีปัญหาเรื่องโภชนาการ
“สพฐ.ได้แก้ปัญหาปรับงบประมาณ แจกเป็นเงินสดไปยังพ่อแม่ ไปซื้อหาวัตถุดิบในท้องถิ่นมาปรุงอาหารให้เด็ก พร้อมคำแนะนำตามโครงการไทยสคูลลันซ์ ที่ สสส.ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดลจัดทำขึ้น โดยเน้นเมนูอาหารที่มีโปรตีนและผัก ซึ่งตามระเบียบแล้วเด็กมีค่าอาหารกลางวัน 20 บาทต่อคน ส่วนนมโรงเรียนได้ประสานผู้ส่งนมโรงเรียน เปลี่ยนจากนมพาสเจอร์ไรส์มาเป็นนม UHTแม้จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นอีกกล่องละ 1.20 บาทก็ตาม”รองเลขาฯ สพฐ. ระบุ
สนิท ยังกล่าวอีกว่า กระทรวงศึกษาธิการได้มีหนังสือแจ้งเรื่องกรอบการประเมินการเรียนการสอนของครู จากเดิมที่มี 70 เรื่องปรับให้เหลือ 10 เรื่อง ส่วนที่เหลือให้มาประเมินในช่วงที่เปิดเรียนได้ตามปกติ อย่างไรก็ตามมีหลายโรงเรียนประกาศยกเลิกการสอบแล้ว สำหรับการเรียนออนไลน์ นอกจากนี้รัฐบาลได้เตรียมเงิน 1.2 หมื่นล้านบาท เพื่อลดผู้ปกครอง และลดภาระค่าเทอม คาดว่าต้นเดือนกันยายน 2564 กระทรวงศึกษาธิการจะนำเงินชดเชยส่งถึงมือผู้ปกครอง โดยจ่ายหัวละ 2,000 บาท
อนึ่ง สำหรับแผนการกลับไปเปิดการเรียนการสอนในโรงเรียนนั้น กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งเป้าว่าหากเด็กและเยาวชนอายุ 12-18 ปี ซึ่งอยู่ในชั้นเรียนระดับมัธยมศึกษา ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ (ซึ่งเป็นยี่ห้อเดียวที่ฉีดให้ประชากรวัยนี้ได้) ตามเป้าหมายภายในเดือนต.ค. 2564 ก็จะสามารถเปิดภาคเรียนที่ 2ที่โรงเรียนได้ ส่วนเด็กที่อายุน้อยกว่านั้นต้องประเมินสถานการณ์อีกครั้ง!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี