“ทุกคนทนไม่ไหวแล้ว ผมก็ทนไม่ไหวครับ” คือ การสื่อสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร “นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี”ที่สะท้อนได้อย่างชัดเจนถึงแรงกดดันในการทำงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ ในการเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ต่อเนื่องมาเกือบ 2 ปี โดยเฉพาะการระบาดช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์ในปี 2564 จนถึงปัจจุบัน และมีทีท่าว่าประชาชนจะยังคงอยู่กับความไม่ปกติเช่นนี้ไปอีกนาน
แม้จะเป็นที่ทราบกันดีว่า หนทางในการคลี่คลายสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ตามแนวทางสากล คือ หนึ่ง การควบคุมการเคลื่อนที่ของคนเพื่อหยุดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสที่อยู่กับคน และสอง การรับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ (หรืออย่างน้อยเป็นการลดอาการป่วยที่มาจากไวรัส) แต่รัฐบาลและหน่วยงานที่รับผิดชอบ ก็พยายามปฏิบัติงานตามแนวทางดังกล่าวให้ประสบผลสำเร็จ จนนำไปสู่การคลี่คลายปัญหาต่างๆ ได้อย่างยากลำบาก โดยเฉพาะข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ที่ต้องประสานกับประชาชนทั่วไป รวมถึงประชาชนที่ป่วยไข้จากโรคไวรัสโควิด-19 ทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด ด้วยข้อจำกัดทางกฎหมาย และระเบียบวินัยจากทางหน่วยงานราชการที่สังกัด อันนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย หรือระเบียบวินัยจนอาจได้รับโทษหรือคำตำหนิในเวลาต่อมา
เหล่านี้เองที่เป็นภาระอันไม่จำเป็นที่ไปสร้างความยุ่งยากให้แก่การปฏิบัติงานของราชการหรือหน่วยงานที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดเช่นนี้ ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ต้องช่วยปลดอุปสรรคเหล่านี้ให้แก่บุคลากรของท่าน เพื่อที่จะทำให้การดูแลประชาชนอันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เกิดผลสัมฤทธิ์ที่ตรงตามเป้าหมายได้อย่างแท้จริง และต่อไปนี้คือสิ่งที่รัฐบาลต้องจัดการในทันที
1. ความล่าช้าของระบบราชการ ไม่ว่าจะเป็น การขอเบิกงบประมาณ การจัดหาวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ไปจนถึงการจ้างงานบางประเภท ที่จำเป็นต้องปฏิบัติในทันที (สำหรับช่วงเวลานั้น) ความล่าช้าของกระบวนการตามที่เสนอมา และไม่ได้นำมาเสนออีกมากนั้น ต้นทางปัญหามาจากการออกแบบกฎระเบียบของทางราชการ ที่มีไว้เพื่อการบริหารราชการในสถานการณ์ปกติเท่านั้น แต่เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องอาศัยความคล่องตัวรวดเร็ว และยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนการปฏิบัติงานให้เหมาะสม และมีประสิทธิภาพตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ การปรับมุมมอง และทัศนคติของราชการ ที่ให้ความเข้มข้นต่อกรอบของระเบียบ ขั้นตอนที่ถูกต้องตามกฎหมายกำหนด ควรต้องให้ความสำคัญน้อยกว่าผลลัพธ์ นั่นคือ การดูแลรักษาชีวิตของประชาชนให้ปลอดภัย ปราศจากความเสี่ยงใดๆ ให้ได้มากที่สุด
2. เปิดพื้นที่ให้ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ซึ่งเป็นหน่วยที่ต้องประสานกับประชาชนอย่างแท้จริง สามารถใช้ “ดุลพินิจ” ในการพิจารณาการปฏิบัติตามคำสั่งของส่วนกลางต่อการบริหารจัดการกระบวนการทำงานในพื้นที่จริงอย่างเต็มที่เพื่อสามารถจัดสรรทรัพยากรที่มีให้เหมาะสมต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่นั้นๆ ได้อย่างแม่นยำ แน่นอนว่า การใช้ดุลพินิจของข้าราชการ และเจ้าหน้าที่สังกัดหน่วยงานราชการ อาจมีคำถามในเรื่องของประสิทธิภาพ และความไม่น่าไว้วางใจอยู่บ้าง แต่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติเช่นนี้ “ความยืดหยุ่น” (Flexibility) เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ปัญหาต่างๆ ได้รับการคลี่คลายอย่างรวดเร็ว และสามารถปรับเปลี่ยนการรับมือต่ออุปสรรคใหม่ๆ ได้อย่างทันท่วงที ดังนั้น ระบบราชการส่วนกลาง นอกเหนือจากการกำหนดนโยบายอันครอบคลุมต่อมาตรการที่ต้องการแล้ว ควรมอบความไว้วางใจให้ทีมงานปฏิบัติจริงในพื้นที่ได้พลิกแพลงคำสั่งนั้น เพื่อความคล่องตัวในการช่วยเหลือประชาชนร่วมมาด้วย
3. ทุบกำแพงที่ขวางระหว่างส่วนราชการลงแล้วประสานการทำงานอย่างมีแบบแผน โดยมีความปลอดภัยของประชาชนเป็นผลลัพธ์ ด้วยการที่รัฐบาลต้องมอบอำนาจให้ข้าราชการในพื้นที่ปฏิบัติจริง สามารถระดมงบประมาณ เครื่องมือและกำลังคน จากทุกกระทรวง ทบวง กรม รวมไปถึงภาคเอกชน และประชาชนจิตอาสา ให้เข้ามาทำงานร่วมกันอย่างเต็มกำลังได้ เช่น ใช้งบประมาณมหาดไทยสร้างโรงพยาบาลสนาม ใช้งบประมาณสาธารณสุขจัดหาอุปกรณ์ และวัสดุทางการแพทย์ ใช้งบประมาณของท้องถิ่นจ่ายค่าจ้างแรงงานเพื่อการติดตั้งอุปกรณ์ และปรับภูมิทัศน์ของโรงพยาบาลสนามให้เหมาะสม โดยโอนอำนาจทั้งหมดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบในการรับงาน และอุปกรณ์ต่างๆ เหล่านั้นตามกฎหมายได้อย่างถูกต้องชอบธรรม เป็นต้น เพราะสถานการณ์วิกฤตทั้งทางเศรษฐกิจ และสาธารณสุขตอนนี้ การบูรณาการการทำงานของกระทรวง และหน่วยงานราชการต่างๆ เท่านั้นจึงจะทันต่อการหยุดความเสียหายที่ลุกลามบานปลายอย่างรวดเร็วในตอนนี้
สถานการณ์โควิด-19 เป็นวิกฤตใหม่ ที่เราต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบในการรับมือให้เหมาะสม เมื่อการปฏิบัติราชการในสถานการณ์ปกติ เราทราบแล้วว่า ผลลัพธ์ไม่เป็นตามที่หวัง การปรับรูปแบบใหม่ในกระบวนการทำงานของระบบราชการจึงต้องเกิดขึ้น เพื่อประสิทธิภาพและความเหมาะสมต่อสถานการณ์ปัจจุบัน และในอนาคตต่อไป ที่สำคัญ นี่อาจเป็นโอกาสดีที่เราจะสามารถ “ปฏิรูประบบราชการ” ที่รอกันมานานแสนนานได้อย่างจริงจังเสียที เพราะวิกฤตครั้งนี้ มีชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนเป็นเดิมพัน
กนก วงษ์ตระหง่าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี