“การท่องเที่ยว” ภาคเศรษฐกิจสำคัญของไทย ในยุคก่อนสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เคยสร้างรายได้หลักล้านล้านบาทต่อปีโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ ในปี 2562 อันเป็นปีสุดท้ายก่อนเข้าสู่ยุควิกฤตโรคระบาด ในปีนั้นประเทศไทยได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติถึง 40 ล้านคน ทำให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนของไทยพยายามหาหนทางกลับไปเปิดการท่องเที่ยวโดยเร็วเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ
แต่อีกด้านหนึ่ง “ความยั่งยืน” ก็มีกระแสที่พูดถึงกันมากในระยะหลังๆ จากการท่องเที่ยวที่ผ่านมาซึ่งเน้นปริมาณมุ่งกอบโกยเม็ดเงินจนทำให้ทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรม ตลอดจนกระทบต่อวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่นที่อาศัยอยู่บริเวณแหล่งท่องเที่ยวนั้น “การท่องเที่ยววิถีใหม่” ที่ไม่เพียงเฉพาะข้อปฏิบัติด้านสุขภาพ แต่ยังรวมถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและเคารพสิทธิชุมชนด้วย จึงกลายเป็นเรื่องสำคัญ
เมื่อเร็วๆ นี้ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรจัดงานบรรยาย (ออนไลน์) เรื่อง “ชาติพันธุ์สัมพันธ์กับการท่องเที่ยว” ซึ่งผู้บรรยายคือ ผศ.ดร.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์นักวิชาการ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (จ.ตาก) เริ่มต้นด้วยการปูพื้นฐานความเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์กับรัฐในประเทศไทย ว่า ก่อนหน้าที่จะมีการเกิดขึ้นของรัฐหรือชาติแบบสมัยใหม่ในยุคล่าอาณานิคม กลุ่มชาติพันธุ์มีวิถีชีวิตที่เป็นอิสระ
เช่น ในพื้นที่ที่ปัจจุบันเป็น อ.แม่สอด จ.ตาก ประเทศไทย กับเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา กลุ่มชาติพันธุ์ที่ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวมีนิเวศวัฒนธรรมแบบเดียวกันแต่เมื่อมีรัฐชาติเกิดขึ้น มีการกำหนดเส้นเขตแดน มีการจัดระเบียบการปกครองเพื่อรวมศูนย์อำนาจ วิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ก็ต้องเปลี่ยน เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในประเทศไทยจากที่ใช้ภาษาของตนเอง ก็ต้องหันมาใช้ภาษาไทย
ความเป็นรัฐสมัยใหม่ยังนำพาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา เกิดการกดทับทางวัฒนธรรม กล่าวคือ วัฒนธรรมตะวันตกกดทับวัฒนธรรมไทย และทั้ง 2 วัฒนธรรม
ก็กดทับวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์อีกชั้นหนึ่ง ขณะเดียวกัน ยังมีการวางนโยบาย “1 ชาติ 1 วัฒนธรรม” หรือการสร้างวัฒนธรรมกระแสหลักของประเทศขึ้นมา (รัฐนิยม) กระทั่งเมื่อเวลาล่วงเลยเข้าสู่ยุคหลังปี 2500 เป็นต้นมา รัฐบาลไทยเริ่มให้ความสำคัญกับกลุ่มชาติพันธุ์โดยเฉพาะที่อยู่บนพื้นที่สูงมากขึ้น เนื่องจาก “ฝิ่น” พืชที่กลุ่มชาติพันธุ์เคยปลูกและขายกันปกติ ถูกนานาชาติกำหนดให้เป็นสิ่งเสพติดให้โทษ
“หลายๆ พื้นที่ถูกอพยพ ตั้งนิคมสร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขาขึ้นมา เอาหลายๆ ชุมชนมารวมกันแล้วก็กลายเป็น1 หมู่บ้าน ย้ายจากพื้นที่สูงลงมาอยู่พื้นที่ราบ อย่างเช่นแถว อ.พบพระ (จ.ตาก) หรือว่าหลายๆ พื้นที่ แถว จ.น่านก็มี เพราะฉะนั้นก็มีการจัดตั้งศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา มีศูนย์วิจัยชาวเขา สถาบันวิจัยชาวเขาขึ้นมา อันนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการผนวกวิถีชุมชนชาติพันธุ์เข้ามาอยู่ในการจัดการของรัฐส่วนกลาง” ผศ.ดร.สุวิชาน ระบุ
สำหรับปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์จากเสียงสะท้อนของคนในพื้นที่คือ “สิทธิในที่ดิน” ชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานมาก่อนมีกฎหมายเกิดขึ้นกลับไม่ได้รับการยอมรับให้อยู่ต่อไปได้ เช่น “บ้านใจแผ่นดิน” ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ที่อยู่มาก่อนมีกฎหมายอุทยานเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ต้องออกจากถิ่นฐานเดิมเพราะไม่มีเอกสารสิทธิตามที่กฎหมายรับรอง ทั้งที่ในความเป็นจริงการตั้งถิ่นฐานในอดีตนั้นด้านหนึ่งรัฐก็ไปไม่ถึงกลุ่มชาติพันธุ์และกลุ่มชาติพันธุ์เองก็เข้าไม่ถึงรัฐ
หรือที่ “อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่” มี 3 ตำบลแต่ในพื้นที่ดังกล่าวมีการออกโฉนดที่ดินเพียง 3 แปลง ดังนั้นการตั้งถิ่นฐานส่วนใหญ่เป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยผิดกฎหมายทั้งสิ้น เนื่องจากมีการประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่แจ่ม ในปี 2507 ซึ่งเมื่อรัฐประกาศพื้นที่ประชาชนก็ต้องทำตาม ทั้งที่ในความเป็นจริงมีการตั้งถิ่นฐานในพื้นที่มาแล้วนับร้อยปี โดยประเทศไทยนั้นมีกฎหมายทั้งป่าสงวน อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า บางพื้นที่แม้อนุโลมให้อยู่อาศัยได้ แต่การทำมาหากินโดยใช้ทรัพยากรในป่ายังถือเป็นความผิด
“ป่าอุทยานแห่งชาติ หินก้อนเดียวเอาออกมาไม่ได้เอาออกมาก็ผิด ไปเก็บเห็ดก็ผิด ฉะนั้นทรัพยากรของกลุ่มชาติพันธุ์ ถ้าเราดูแผนที่ อันนี้ไม่ได้อวดอ้าง พื้นที่สีเขียวที่ยังหลงเหลืออยู่ในประเทศไทยอยู่มากที่สุดทางเหนือกับทางตะวันตก แล้วพอพื้นที่ส่วนใหญ่ที่อยู่ในนั้นส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์ หรือชนเผ่าพื้นเมืองบนพื้นที่สูง ฉะนั้นพอมีการประกาศเป็นเขต 3 ป่า (ป่าสงวน อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า) มันทำให้ไม่มีสิทธิในการจัดการ (Manage) หมายถึงการใช้และการดูแลรักษา” ผศ.ดร.สุวิชาน กล่าว
เมื่อการท่องเที่ยวถูกยกเป็นหนึ่งในเครื่องจักรเศรษฐกิจสำคัญ ทิศทางของรัฐหรือนักพัฒนาจึงมองกลุ่มชาติพันธุ์เปลี่ยนไป จากที่มองเป็นปัญหา เช่น โง่-จน-เจ็บ
ที่ต้องเข้าไปสงเคราะห์ช่วยเหลือ หรือมองว่าเป็นภัยความมั่นคง เป็นการมองเห็นวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ในฐานะทุนทางวัฒนธรรม เป็นโอกาสในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่ง ผศ.ดร.สุวิชาน ให้ความเห็นว่า การมองกลุ่มชาติพันธุ์ในด้านเศรษฐกิจเพียงด้านเดียวยังเป็นเพียงความคิดด้านการเก็บเกี่ยว แต่ไม่ได้คิดถึงการเสริมสร้างด้วย
โดยความเข้าใจที่ควรเกิดขึ้นในการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมคือ “สร้างคุณค่าความเป็นมนุษย์มากกว่าคุณค่าเชิงวัตถุ” ไม่มองวิถีวัฒนธรรมหรือวิถีชุมชนเป็นเพียงสินค้า ผลัตภัณฑ์หรือทุนการท่องเที่ยว (Cultural for Sales) แต่ให้มองกลุ่มชาติพันธุ์หรือชุมชนในฐานะมนุษย์ และมองวัฒนธรรมในเชิงจิตวิญญาณ (Cultural forSoul) นอกจากนี้ ต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน การทำให้ชุมชนสามารถพึ่งตนเองได้ เป็นผู้ประกอบการในท้องถิ่น ไม่ใช่ต้องรอคอยแต่เม็ดเงินลงทุนจากภายนอก แล้วคนในชุมชนเป็นได้เพียงแรงงานเท่านั้น
ทั้งนี้ ในการมองวัฒนธรรมแบบวิชาการ อธิบายได้ในรูปแบบ “ภูเขาน้ำแข็ง” แบ่งเป็นส่วนยอดที่ลอยอยู่เหนือน้ำคือรูปแบบของวัฒนธรรมที่มองเห็น (Form) เช่นอาหาร ดนตรี ศิลปะ ภาษา ประเพณี เทศกาล ฯลฯ กับส่วนฐานที่จมอยู่ใต้น้ำคือที่มาที่ไป บริบทต่างๆ ของชุมชนหรือสังคมที่หล่อหลอมให้เกิดวัฒนธรรมนั้นขึ้นมา (Ideology,Meaning, Value) เช่น อาหารท้องถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์มีความหมายหรือคุณค่าใดอยู่เบื้องหลัง หากไม่เข้าใจที่มาที่ไปของวัฒนธรรม หยิบแต่เพียงรูปแบบที่มองเห็นไปใช้ นอกจากจะไม่ต่อยอดแล้วอาจทำลายวัฒนธรรมนั้นได้
ผศ.ดร.สุวิชาน ให้ข้อสรุปถึงเป้าหมายการท่องเที่ยวและแนวคิดการพัฒนาบนฐานวัฒนธรรมชุมชนไว้ว่า 1.สร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพของชุมชนท้องถิ่น อาศัยวิถีชีวิต ความรู้และภูมิปัญญาที่สั่งสมกันมาเป็นพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิตและการพัฒนาต่อยอด กับ 2.เพิ่มพลังต่อรองกับอำนาจ นโยบายและโครงการ หรือกิจกรรมที่เข้าครอบงำทางความคิด ภูมิปัญญาและวิถีชีวิตของชุมชน และเป็นอุปสรรคหรือข้อจำกัดต่อการพัฒนาชุมชน การท่องเที่ยวสามารถใช้เพื่อสร้างพลังต่อรองลดช่องว่างความด้อยโอกาสของชุมชนได้
“ถ้าเราดูข้อมูล ประเทศไทยเป็นประเทศลำดับต้นๆของโลก ที่มีความเหลื่อมล้ำทางสังคม แต่เราจะทำอย่างไรให้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือหนึ่งไปถมช่องว่างตรงนี้ที่เกิดขึ้นในชุมชนชาติพันธุ์ อันนี้ก่อนที่จะไปพูดถึงการท่องเที่ยว เรารู้จักสถานการณ์ วิถี ปัญหา ความเป็นมาที่ทำให้เกิดความด้อยโอกาส ที่ทำให้เกิดอุปสรรคมีต่อชุมชนชาติพันธุ์แล้ว วิธีคิดแนวคิดเรื่องการพัฒนาบนฐานวัฒนธรรมชุมชนนั้นสำคัญ
ไม่เช่นนั้นการท่องเที่ยวก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไร นอกจากได้เงินเท่านั้นเอง บางทีเงินก็ไปตอบเรื่องสิทธิไม่ได้ เงินก็ไปตอบเรื่องของความสุขไม่ได้ เงินไปตอบคุณค่าไม่ได้ เงินไม่ได้ไปพัฒนาอะไร ฉะนั้นถ้าจะทำให้เกิดการท่องเที่ยวบนฐานการพัฒนาวัฒนธรรมชุมชนที่ยั่งยืน วิธีคิดเหล่านี้สำคัญที่เราจะต้องทำความเข้าใจ” ผศ.ดร.สุวิชาน ฝากข้อคิด
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี