“มาตรา 31 บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนาและย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน แต่ต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทย ไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน”
บทบัญญัติใน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซึ่งให้การรับรองสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาไว้ ขณะเดียวกัน ยังมีมาตราอื่นที่บัญญัติไว้สอดรับกัน เช่น “มาตรา 27 (วรรคสาม) การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องถิ่นกําเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการสภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม
ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมือง อันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือเหตุอื่นใด จะกระทํามิได้” และรวมถึง “มาตรา 5 (วรรคหนึ่ง) รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎหรือข้อบังคับ หรือการกระทําใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทํานั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้” เป็นต้น
ในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ของ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2564 ที่ผ่านมา วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณีหนึ่งที่มีการร้องเรียนเข้ามายัง กสม. โดยผู้ร้องเป็น “นักศึกษาชายซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม” ที่กำลังศึกษาอยู่ในหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 4 ศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลสงขลาคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ “ถูกห้ามไว้หนวด-เครา”อันเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตแบบมุสลิม
กรณีนี้ผู้ร้องได้ยื่นเรื่องร้องเรียนในเดือน พ.ค.2563 โดยอ้างว่าตนเองได้รับผลกระทบจากกฎดังกล่าวเมื่อปี 2558ซึ่งนอกจากกฎห้ามนักศึกษาแพทย์ไว้หนวด-เคราแล้ว ยังมีกฎที่นักศึกษาแพทย์ทุกคนต้องเข้าร่วมพิธีกรรมที่ไม่สอดคล้องกับหลักศาสนาอิสลามในทุกวันศุกร์ของสัปดาห์ซึ่งตรงกับช่วงเวลาละหมาดด้วย ซึ่ง กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และได้เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไข
“การไว้เคราแม้จะไม่ใช่ข้อบังคับหลักของศาสนาอิสลาม แต่ถือเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติตามความเชื่อทางศาสนา ซึ่งย่อมเป็นเสรีภาพที่ได้รับคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 การที่ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกนำระเบียบดังกล่าวมาบังคับใช้ จึงถือเป็นการละเมิดเสรีภาพในการปฏิบัติตามความเชื่อทางศาสนาของผู้ร้อง
กสม.ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2564 จึงมีข้อเสนอแนะให้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ในฐานะหน่วยงานหลักที่เป็นผู้กำหนดระเบียบข้อบังคับต่างๆ แก้ไขระเบียบเกี่ยวกับการแต่งกายและบุคลิกภาพของนักศึกษาแพทย์ให้สอดคล้องกับหลักศาสนา” วสันต์ กล่าวถึงข้อวินิจฉัยของ กสม.
วสันต์ ยังกล่าวอีกว่า ล่าสุดเมื่อช่วงต้นเดือน ก.ย. 2564 ที่ผ่านมา กสม. ได้รับแจ้งจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ว่า ได้ประชุมแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ว่าด้วยเครื่องแต่งกายและหลักเกณฑ์การปฏิบัติงานของนักศึกษาแพทย์ระดับชั้นคลินิก พ.ศ.2561 ข้อ 9 ตามข้อเสนอแนะของ กสม. แล้ว โดยระบุว่า
“นักศึกษาแพทย์ชาย ทรงผมสุภาพ ห้ามทาสีผม ตัดสั้นไม่ปิดหน้า ใบหูและห้ามไว้หนวดและเครา ให้ตัดเล็บสั้นห้ามทาสีเล็บ หรืออื่นๆ ตามที่สถานปฏิบัติการกำหนด สำหรับการห้ามไว้เครานั้น ให้พิจารณาตามเหตุผลความจำเป็นในการปฏิบัติตามหลักศาสนาของตน แต่ไม่ขัดต่อหลักความปลอดภัยหรือสุขอนามัยของตนเองและผู้อื่น” โดยระเบียบแก้ไขดังกล่าวคือระเบียบมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ว่าด้วยเครื่องแต่งกายและหลักเกณฑ์การปฏิบัติงานของนักศึกษาแพทย์ระดับชั้นคลินิก พ.ศ.2561 (แก้ไขเพิ่มเติม) ฉบับที่ 2 พ.ศ.2564 ได้ประกาฬใช้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 ก.ค.2564 เป็นต้นมา
“อันนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่มีผู้ร้องเรียนเข้ามา และคณะกรรมการ กสม. ก็ได้พิจารณาและมีความเห็นและมีการดำเนินการแล้วเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชน” นายวสันต์ กล่าวในท้ายที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี