“ใครๆ ก็อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น” นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เกิด “การย้ายถิ่น” จากพื้นที่ที่มีความเจริญน้อยกว่าไปสู่พื้นที่ที่มีความเจริญมากกว่าเพื่อแสวงหาโอกาส ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล จัดการบรรยาย (ออนไลน์) ชุด “วิวัฒนาการการย้ายถิ่นของประเทศไทยร่วมสมัย” ฉายภาพประวัติศาสตร์การย้ายถิ่นของคนไทย แบ่งเป็น 2 ตอนคือ ในประเทศและระหว่างประเทศ จากนักวิชาการ 2 ท่านของสถาบันฯ
รศ.ดร.โยธิน แสวงดี ผู้รับหน้าที่บรรยายเรื่อง“การย้ายถิ่นภายในประเทศ” กล่าวว่า การย้ายถิ่นเกิดได้โดยอาศัยปัจจัย 2 ด้านคือ “ปัจจัยผลักดันจากต้นทาง-ปัจจัยดึงดูดจากปลายทาง” ที่สำคัญคือ “เศรษฐกิจ” เช่น ในชนบทการจ้างงานมีน้อย ในขณะที่ครัวเรือนมีฐานะไปทางยากจน รายได้ไม่เพียงพอเลี้ยงชีพ รวมถึงตัวแปรอย่างสภาพทางธรรมชาติ อาทิ พื้นที่มีความแห้งแล้ง กลับกันในเมืองใหญ่มีแสงสีศิวิไลซ์ มีการจ้างงานที่รายได้สูงกว่า จึงเป็นที่มาของชาวชนบทอพยพละทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดเข้าไปหางานทำในเมือง
“ความคาดหวังที่คาดว่าจะได้ในถิ่นปลายทาง เช่น การมีงานทำ การได้รับค่าจ้างที่ดีขึ้น อาจจะไม่ได้เป็นไปตามความคาดหวังที่นักย้ายถิ่นต้องการ หลายคนก็ประสบความสำเร็จ หลายคนก็ไม่ประสบความสำเร็จ จากข้อมูลที่ผมเคยวิจัยไว้ ส่วนใหญ่ผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จจะย้ายถิ่นกลับบ้านภายใน 2 เดือน เพราะหากว่างงานภายใน 2 เดือนไม่มีใครจ้าง ค่าใช้จ่ายที่เตรียมตัวมา ค่าพักอาศัย ค่าอาหารต่างๆก็จะหมดไป” รศ.ดร.โยธิน กล่าว
ในการย้ายถิ่นและการอยู่อาศัยในพื้นที่ใหม่นั้นผู้ย้ายถิ่นมักพึ่งพาเครือญาติหรือเครือข่ายทางสังคม เช่น คนที่มาจากหมู่บ้านเดียวกัน คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันซึ่งประวัติศาสตร์การย้ายถิ่นในสังคมไทย อาจแบ่งได้เป็น4 ยุค ได้แก่ 1.ปี 2398-2513 ยุคนี้เรียกว่า “Thailand 1.0”สังคมไทยยังเป็น “สังคมเกษตรกรรม” การย้ายถิ่นยังเป็นระหว่างชนบทกับชนบทเพื่อแสวงหาที่ดิน เนื่องจากรัฐบาลในยุคนี้สนับสนุนให้ประชาชนจับจองที่ดินเพื่อทำการเกษตร การย้ายถิ่นในยุคนี้มักเป็นการย้ายถิ่นในภาคเดียวกัน เพราะการเดินทางข้ามภูมิภาคยังเป็นเรื่องยากลำบาก
กระทั่งเมื่อล่วงเข้าสู่ทศวรรษ 2500 ที่การคมนาคมพัฒนามากขึ้น พบการย้ายถิ่นจากจังหวัดภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่กรุงเทพมหานคร (กทม.) หรือที่สมัยนั้นยังแยกกันระหว่างจังหวัดพระนครกับจังหวัดธนบุรี เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เห็นได้จากสถิติการย้ายถิ่นเข้ากรุงเทพฯ ช่วงปี 2498-2503 อยู่ที่ 785,357 คน คิดเป็น 35.8 ต่อประชากร 1 พันคน แต่ในช่วงปี 2508-2513 จะอยู่ที่ 1,765,680 คน คิดเป็น 61.5 ต่อประชากร 1 พันคน
2.ปี 2513-2529 หรือเรียกว่า “Thailand 2.0” สังคมไทยเข้าสู่ “สังคมอุตสาหกรรม” ในช่วงแรกอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งรัฐบาลสนับสนุนอุตสาหกรรมสิ่งทอ ทำให้พื้นที่แถบนี้เกิดโรงงานขึ้นจำนวนมาก ควบคู่ไปกับจัดตั้งสถาบันการศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน รองรับการผลิตและพัฒนาแรงงานฝีมือ จากนั้นได้มีการพัฒนาเขตอุตสาหกรรมขึ้นในพื้นที่ 2 จังหวัดชายฝั่งตะวันออก คือ ชลบุรีและระยอง เนื่องจากมีความพร้อมทั้งสนามบินและท่าเรือ นำไปสู่ทางเลือกในการย้ายถิ่นไปหางานทำเพิ่มขึ้น
3.ปี 2529-2559 หรือเรียกว่า “Thailand 3.0” สังคมไทยเข้าสู่ “ยุคเทคโนโลยี” นอกจากระบบคมนาคมจะดีขึ้น เช่น มีการตัดถนนสายรองเชื่อมถนนสายหลักมากขึ้นแล้ว ยังรวมถึงการสื่อสารด้วย เช่น โทรเลขและจดหมาย ต่อมาผู้คนเริ่มใช้คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์กันอย่างแพร่หลาย ทำให้รับรู้ข้อมูลข่าวสารรวมถึงแหล่งงานได้มากขึ้น อีกด้านหนึ่ง ผู้ย้ายถิ่นรุ่นก่อนหน้าที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่ปลายทางไม่ว่าจะเป็นที่พักแบบเช่าหรือซื้อ ก็จะคอยรองรับผู้ย้ายถิ่นหน้าใหม่ที่เป็นคนบ้านเดียวกัน อนึ่ง ยุคนี้เป็นอีกช่วงที่พบการย้ายถิ่นจากชนบทเข้าสู่เมืองเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
“ในปี 2535 สำนักงานสถิติแห่งชาติ รายงานว่าร้อยละการย้ายถิ่นจากเขตชนบทเข้าสู่เมืองจะประมาณ 15.5% แต่ที่น่าสังเกต พอขยับมาเป็นปี 2545 สัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจาก 13.4% (ปี 2540) เป็น 19.2% (ปี 2545) นับว่ากราฟได้เขย่งขึ้นบ้าง สะท้อนว่าการย้ายถิ่นของประเทศไทยจากชนบทเข้าสู่เมืองยังมีความนิยมกันอยู่” รศ.ดร.โยธิน ระบุ
สุดท้ายคือ 4.ปี 2560-ปัจจุบัน หรือยุค“Thailand 4.0” ทิศทางของประเทศเริ่มเปลี่ยนจากการผลิตภาคอุตสาหกรรม ไปสู่การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (ปี 2560-2564) มีการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์ (Robots) และระบบคอมพิวเตอร์มาใช้แทนแรงงานคนมากขึ้น ในยุคนี้การย้ายถิ่นยังคงมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ และพื้นที่ภาคกลาง เช่นเดิม เพราะมีความพร้อม
โดยเฉพาะการมีสนามบิน 2 แห่งอย่างดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ทำให้พื้นที่นี้ยังเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ หรือที่อยู่ถัดไป อย่างสนามบินอู่ตะเภา ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก ตลอดจนสนามบินตาคลี จ.นครสวรรค์ (ปัจจุบันเป็นสนามบินทางทหาร) ที่มีศักยภาพรองรับการขนส่งทางอากาศ ทั้งนี้ “การย้ายถิ่นในประเทศยุค 4.0 มีน้อยมาก” หากนับจากปี 2560-2563 เฉลี่ยปีละ 5-6 แสนคน หรือคิดเป็นร้อยละ 0.8-1.0 เท่านั้น
รศ.ดร.โยธิน กล่าวต่อไปว่า หากดูข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในปี 2562 พบว่า กรุงเทพฯ ยังเป็นจังหวัดที่เป็นเป้าหมายการย้ายถิ่นมากที่สุด รองลงมาคือ เชียงใหม่ เมืองเอกของภาคเหนือ อันดับ 3 นครราชสีมา เมืองเอกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอันดับ 4 นครศรีธรรมราช เมืองทางภาคใต้ อนึ่ง “นับจากปี 2555 เป็นต้นมาพบการย้ายถิ่นของผู้สูงอายุ” โดยเป็นการย้ายออกจากกรุงเทพฯ และภาคกลางไปยังจังหวัดอื่นๆ ซึ่งมาจากการที่มีประชากรวัยเกษียณทั้งจากภาครัฐ (ราชการ-รัฐวิสาหกิจ) และภาคเอกชน (บริษัทห้างร้านต่างๆ)
และหากให้คาดการณ์ต่อไป “ในอนาคตเชื่อว่าการเดินทางไปหางานทำแบบข้ามจังหวัดหรือภูมิภาคไม่น่าจะมากเท่ายุคที่ผ่านมา” เนื่องจากเทคโนโลยีด้านการสื่อสารที่พัฒนาไปมาก เห็นได้จาก “การทำงานที่บ้าน (Work from Home)” เป็นกระแสที่มาแรงในปัจจุบัน พนักงานในสำนักงาน ไปจนถึงพ่อค้า-แม่ค้า สามารถทำงานของตนได้ทางออนไลน์ เมื่อรวมกับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ไฟฟ้า น้ำประปา ที่พัฒนามากขึ้นด้วยแล้ว ดังนั้นการอาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทแต่มีคุณภาพชีวิตที่ดีท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่สวยงาม ก็นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
“แบบแผนการย้ายถิ่นของประเทศไทยในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล ที่จะส่งเสริมให้ Work from Home มากยิ่งขึ้น และที่สำคัญยิ่ง ระบบคลื่น (สัญญาณโทรศัพท์และอินเตอร์เนต) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและพลังงานคือไฟฟ้ากับน้ำหากมีการพัฒนาให้ดีขึ้นเพื่อส่งเสริมปัจจัยการผลิต ให้สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศที่วางแผนไว้ ในความก้าวหน้าของประเทศไทยในยุคถัดไป” รศ.ดร.โยธิน กล่าวในท้ายที่สุด
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี