สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ตลอดเวลาเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา มีคำกล่าวหนึ่งที่ว่า “โควิดกระตุ้นและเร่งเร้าให้การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเกิดขึ้นรวดเร็วและรุนแรงขึ้น” ซึ่งก่อนหน้านี้แม้จะพูดถึงคำว่า “ดิสรัปชั่น (Disruption)” กันมาหลายปี แต่ยุคโควิดที่ต้อง “ล็อกดาวน์” รัฐสั่งปิดกิจการต่างๆ เพื่อลดการเคลื่อนย้ายและรวมกลุ่มเพื่อตัดเส้นทางการระบาดของโรค ได้ทำให้สภาพดังกล่าวปรากฏชัดเจน ทั้งการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) การเรียนออนไลน์ แม้แต่การสั่งอาหารก็ยังใช้บริการส่งผ่านแอปพลิเคชั่น
แต่เทคโนโลยีที่ก้าวหน้านั้นสามารถถูกนำไปใช้ทางใดก็ได้ไม่ว่ามืดหรือสว่าง ดังกรณีของ “พนันออนไลน์”ซึ่งเล่นง่ายผ่านคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนโดยไม่ต้องไปที่บ่อน กำลังเป็นปัญหาใหญ่มากในยุคนี้ที่มีให้เห็นตามหน้าสื่ออยู่เนืองๆ จากข่าวอาชญากรรมลักวิ่งชิงปล้นที่ผู้ต้องหาหลายรายรับสารภาพว่า “ติดหนี้พนันออนไลน์”ซ้ำร้ายบางรายยังเป็นเพียง “เยาวชน” รวมถึงการชักชวนให้เล่นนั้นยังยกระดับจากการส่งข้อความ (SMS) ไปสู่การโทรศัพท์มาชักชวน ล่อลวงด้วยการให้ “เครดิต” เล่นฟรีล่วงหน้าไปก่อน
ในงานเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “ปราบพนันออนไลน์ ... เรื่องพูดง่ายที่ทำไม่สำเร็จ” จัดโดย ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน (Center for Gambling Studies) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน และอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ข้อมูลสถานการณ์การพนันในปี 2564 เทียบกับปี 2562 แสดงให้เห็นว่าโควิด-19ทำให้การพนันในบ่อนมีขนาดเล็กลง แต่ยังพบผู้เล่นพนันในบ่อนถึง 4.18 ล้านคน ลดลงร้อยละ 16.1 และมีวงเงินพนัน 108,805 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12.6
ส่วนการพนันออนไลน์แม้ยังมีขนาดเล็กกว่าการพนันในบ่อนแต่ก็เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยจำนวนนักพนันออนไลน์ 1.12 ล้านคน เพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 135 และมีวงเงินหมุนเวียน 107,078 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 431.3 ประเภทการพนันออนไลน์ที่เป็นที่นิยม คือ 1.บาคาร่า ป๊อกเด้ง ร้อยละ 78.8 2.สล็อตแมชชีน ตู้เกม ร้อยละ 36.8 3.ไฮโลโปปั่น น้ำเต้าปูปลา ร้อยละ 20.8 และ 4.เกมไพ่อื่นๆ เช่น ผสมสิบ เสือมังกร
“สาเหตุที่ทำให้นักพนันหันมาเล่นพนันออนไลน์มากขึ้น ได้แก่ 1.สะดวก ง่าย เล่นได้ทุกที่ทุกเวลา มากถึงร้อยละ92.4 2.มีรูปแบบการแทงพนันที่หลากหลาย ร้อยละ 45.6 3.ฝาก-ถอนเงินจากระบบได้อย่างรวดเร็ว ร้อยละ 39.6 4.เพื่อนชวน ร้อยละ 38 5.โปรโมชั่นจูงใจ ร้อยละ 36 และ 6.ร้อยละ 19.6 ระบุว่า ช่วงโควิดระบาดบ่อนการพนันปิดจึงหันมาเล่นออนไลน์ที่สามารถเล่นได้ทุกที่ทุกเวลา
ซึ่งคนที่เล่นการพนันในปี 2564 ที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายว่าจะเป็น Problem Gamblers หรือนักพนันที่มีปัญหามีมากถึง 3.512 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นเด็กและเยาวชนอายุ 15-25 ปี 6 แสนคน และผู้สูงวัย อายุ 60 ปีขึ้นไป 2 แสนคน แต่ในแง่สัดส่วนพนันออนไลน์ทำให้พบนักพนันที่เป็นปัญหามากที่สุดถึงร้อยละ 37.1 ไล่ตามมา คือ หวยอื่นๆร้อยละ 35.6 พนันทายผลฟุตบอล ร้อยละ 33.5 และพนันในบ่อน ร้อยละ 31.3” อาจารย์นวลน้อย ระบุ
ขณะที่ ณัฐกร วิทิตานนท์ อาจารย์ภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ กล่าวว่า พบความสัมพันธ์ระหว่างสถานการณ์โควิด-19 กับการพนันใน 7 ประเด็น ได้แก่ 1.มาตรการควบคุมโรคของประเทศต่างๆ ส่งผลกระทบด้านลบต่ออุตสาหกรรมการพนันแบบดั้งเดิม 2.ตลาดการพนันออนไลน์ฉกฉวยโอกาส ขยายตัวอย่างก้าวกระโดด 3.ผู้คนย้ายฐานจากการพนันโลกจริงไปสู่การพนันออนไลน์เพิ่มขึ้น และเกิดนักพนันหน้าใหม่เพิ่มมากขึ้นจากการพนันออนไลน์
4.การพนันออนไลน์มีผลด้านลบต่อผู้เล่นมากกว่าการพนันแบบเดิม เช่น กลุ่มนักพนันอายุน้อย รายได้ต่ำ ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงจะติดการพนันได้ง่ายกว่าคนกลุ่มอื่น 5.การยกเลิกการแข่งขันกีฬารายการสำคัญทำให้เกิดตลาดทดแทน บางคนหันไปเล่นพนันกีฬาชนิดอื่นที่ยังมีการแข่งขันหรือพนันอีสปอร์ต (E-Sports : การแข่งขันวีดีโอเกม) 6.หลังการระบาดของโควิด-19 กาสิโนจะกลับมาฟื้นตัว และ 7.ผู้คนหันเข้าหาการพนันออนไลน์ข้ามชาติมากขึ้น
“สถานการณ์การพนันของไทย พบว่า การปิดด่านพรมแดนทำให้บ่อนกาสิโนชายแดนต้องหยุดกิจการชั่วคราวจึงเกิดรูปแบบออนไลน์เข้ามาตอบสนองความต้องการแทน และช่วงเริ่มผ่อนคลายก็พบบ่อนเถื่อนลักลอบเปิด จึงเกิดบ่อนการพนันเป็นคลัสเตอร์แพร่ระบาดโควิด-19 และเกิดรูปแบบการเล่นในชุมชน บ่อนวิ่ง เป็นลักษณะการพนันที่ใกล้ตัวอย่างเห็นได้ชัด” อาจารย์ณัฐกร กล่าว
ด้าน ธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน ให้ความเห็นว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาการพนัน มักทำงานแบบ “แมวไล่จับหนู” อีกทั้งยังเป็นลักษณะ “ต่างแมวต่างทำ” จึงเรียกร้องให้เปลี่ยนเป็นการทำงานแบบ “ทศกัณฐ์” ช่วยกันสอดส่องและบูรณาการการทำงานร่วมกันให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยหน่วยงานกลางในประสานขับเคลื่อนการทำงานร่วมกัน อีกทั้งต้องได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่ายในการร่วมมือการหยุดพนัน อาทิ
“กรมสุขภาพจิต” เพราะการพนันมีความเกี่ยวข้องโดยตรงต่อสุขภาพจิต “สถาบันการเงิน” ในการช่วยเฝ้าระวังความเคลื่อนไหวทางการเงินที่ผิดปกติ และร่วมกับ
“ผู้ให้บริการโทรศัพท์” แจ้งเตือนการเคลื่อนไหวทางการเงินที่ผิดปกติของบุคคลที่อาจหลงเป็นเหยื่อของเว็บพนัน “ผู้ให้บริการสื่อออนไลน์” เพราะเว็บพนันใช้ช่องทางออนไลน์ในการหลอกล่อเพื่อชักชวนให้คนไปหลงเล่นพนัน และ “ภาคประชาชน” ในการเฝ้าระวังชุมชน ร่วมพัฒนาองค์ความรู้ สร้างภูมิคุ้มกันสังคมเพื่อการรู้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลงไปของการพนันที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบตลอด
“ปัญหาการพนันที่มีทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ขณะนี้มีแนวโน้มการขยายตัวของปัญหาที่จะมีมากขึ้น ทำให้ต้องการการทำงานที่มีมิติที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น จึงเสนอให้ภาครัฐตั้งศูนย์อำนวยการจัดการปัญหาการพนัน โดยให้หน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม มีส่วนร่วมเพื่อเป็นกลไกการควบคุมดูแลปัญหาจากการพนันที่ชัดเจน และให้ความสำคัญกับเรื่องสร้างการรู้เท่าทันเรื่องการพนัน โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชนที่อาจหลงผิดเชื่อคำโฆษณาและการชักชวนเล่น
การพนัน” เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี