ก่อน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 4 สิ้นพระชนม์จาก “ไข้ป่า” (Malaria) พระองค์ตรัส “ฝากฝัง” กับเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ว่า... “อะไรซึ่งขัดเคืองว่ากล่าวแก่ท่านทั้งหลาย ทั้งปวงมาแต่ก่อนนั้น ขออโหสิกรรมกันเสียเถิด อย่าให้เป็นเวรกันต่อไป
ขอฝากแต่พระเจ้าลูกยาเธอและพระเจ้าลูกเธอด้วย ถ้าจะมีความผิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นข้อใหญ่ขอแต่ชีวิตไว้ให้เป็นแต่โทษเนรเทศ...”
เวลานั้น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ซึ่งได้ตามเสด็จไป “ทอดพระเนตรสุริยุปราคา” ด้วย ก็ประชวรหนักด้วยพระโรคอย่างเดียวกัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ไม่ทรงเลือกเจ้านายพระองค์ใดให้สืบราชสมบัติแทน
ขณะนั้นสมเด็จฯเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ พระชนมายุ15 พรรษากว่าๆ มีข้อสันนิษฐานว่า ในหลวงฯ รัชกาลที่ 4ทรงเกรงว่า “เจ้าฟ้า” ยังทรงพระเยาว์เกินไปประการหนึ่งอีกประการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4ทรงทำเช่นเดียวกับรัชกาลที่ 2 และที่ 3 คือ“ไม่ทรงเลือกเจ้านายพระองค์ใดให้สืบราชสมบัติแทน”
ในที่ประชุมของพระบรมวงศานุวงศ์ พระราชาคณะและข้าราชการผู้ใหญ่ ที่เริ่มประชุมเที่ยงคืนวันที่ในหลวงรัชกาลที่ 4 เสด็จสวรรคต เห็นควรถวายราชสมบัติแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯกรมขุนพินิตประชานาถ โดยให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ว่าราชการแผ่นดินไปจนกว่าพระเจ้าแผ่นดินจะทรงมีพระชนมายุพอที่จะผนวชได้ (คือ 20 พรรษา)
สมเด็จฯเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ในพระราชวงศ์จักรีเมื่อพระชนมายุ 15 พรรษากับอีกเกือบ 1 เดือน
สมเด็จฯเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ทรงได้ศึกษาวิชา “การปกครองและนโยบายของชาติ” (ภาคค่ำ) จากพระราชบิดา ผู้สอนจากการ “เล่าให้ฟัง” เมื่อสมเด็จพระชนกนาถ ทรงตรวจหนังสือราชการและทรงถ่ายทอดเรื่องสำคัญๆ ให้ทรงทราบ และยังทรงโปรดให้ “พระราชโอรส” ผู้ใกล้ชิดไปบอกเรื่องราชการแก่เสนาบดีผู้ใหญ่ เช้าวันรุ่งขึ้น
เมื่อเริ่มรัชกาลของ “ยุวกษัตริย์” และมีผู้สำเร็จราชการ คนในสมัยนั้นก็อดระแวงไม่ได้ ผู้สำเร็จราชการซึ่งเป็นผู้ใหญ่และมีประสบการณ์มากมาย จะสร้างปัญหาให้กับในหลวงองค์น้อย หากแต่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เป็นขุนนางผู้ใหญ่ซึ่ง “ซื่อสัตย์จงรักภักดีและรักษาความยุติธรรม” ดัง เซอร์จอห์น เบาริ่ง ทูตอังกฤษบันทึกไว้ว่า
“เป็นคนมีความรู้ สุขุม ดีกว่าผู้ใดที่เราได้พบ มีกิริยามารยาทละมุนละม่อม เป็นผู้ดี พูดจาก็เหมาะสม...ถ้อยคำของเขาสมกับเป็นผู้รักชาติอย่างยิ่ง...”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็น “กษัตริย์” ที่ทันสมัย เรื่องสำคัญที่ทรงพัฒนาคือ “การศึกษา” ซึ่งเป็น “หัวใจ” ของความเจริญรุ่งเรืองของสยามประเทศ ทรงตั้งพระทัยว่า “ยุวชนรุ่นใหม่ ทั้งพระราชวงศ์และบุตรขุนนาง จะต้องได้รับการศึกษาอย่างดีกว่ารุ่นพระองค์เอง”
เมื่อทรงตั้งโรงเรียนราชกุมารในพระบรมมหาราชวัง สำหรับพระราชวงศ์และบุตรขุนนางผู้ใหญ่ ถือเป็นโรงเรียนทดลอง เมื่อประสบความสำเร็จทรงตั้งโรงเรียนขึ้นอีกคือ โรงเรียนสวนกุหลาบ สำหรับบุตรข้าราชการชั้นผู้น้อยและพ่อค้า เป็นแบบอย่างโรงเรียนประถมและมัธยมของรัฐบาลต่อมา
พระราชดำรัสวันเปิดโรงเรียนแสดงถึงน้ำพระทัยกว้างขวางของพระองค์
“บรรดายุวชนนับตั้งแต่พระราชโอรสจนถึงบุตรของประชาชนสามัญทั่วไป ควรจะได้รับการศึกษาเท่าเทียบกันหมด”
ทรงดำเนินตามรอยพระบาทสมเด็จพระชนกนาถที่ตั้งพระราชปณิธานแน่วแน่ในรัชสมัยของพระองค์ “เมืองไทยจะต้องไม่เป็นเมืองขึ้นฝรั่ง” วิธีป้องกันคือ... “เราจะต้องเดินทางเข้าหาความก้าวหน้าโดยลำแข้งของเราเอง”
งานสำคัญอีกชิ้นหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปรับปรุงพัฒนาเพื่อ “ความอยู่ดีกินดีของทวยราษฎร คือ การสาธารณสุข” ซึ่งส่งผลมาถึงทุกวันนี้
ทรงตั้งกรรมาธิการสาธารณสุข ประกอบด้วยสมาชิก 9 คน ได้แก่ เจ้านายในพระราชวงศ์ ข้าราชการชั้นขุนนาง และแพทย์ฝรั่งประจำพระองค์ (Dr.Peter Cowan)
ทรงริเริ่มการจัดโรงพยาบาลโรงแรก ถือเป็นโรงพยาบาลทดลองที่ธนบุรี
ขณะนั้นแพทย์แผนไทยโบราณยังเป็นที่นิยม แต่ “พระเจ้าอยู่หัว” ก็ทรงเห็นคุณประโยชน์ของ “การแพทย์และยาแผนยุโรป”
การตั้งโรงพยาบาลต้องใช้ “ทุนทรัพย์” เป็นอันมาก พระเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญพระราชกุศลด้วยการพระราชทานทุนเพิ่มเติมทุนของโรงพยาบาลให้มากขึ้นๆ โรงพยาบาลศิริราช เกิดขึ้นจากพระราชกุศลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ “เจ้านาย” ผู้ทรงเห็นความทุกข์ยากของผู้ป่วยไข้ ฯลฯ
23 ตุลาคม ของทุกปีเป็น “วันปิยมหาราช” น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
“พระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน” โดยแท้
(เครดิต: “เจ้าชีวิต” : พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์)
กฤษณ์ ศิรประภาศิริ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี