“ตอนนี้มัน New Normal ผมเห็น New มาหลายปีแล้ว ต่อไปไม่มีแล้ว มันเป็น Next เพราะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน 3 สิ่งหลักๆ ใหญ่ๆ 1.ที่อยู่อาศัย ท่านสังเกตดีๆ ต่อไปที่อยู่อาศัยมันไม่ใช่แค่ที่พักที่หลับที่นอน จะเป็นทั้งที่ทำงาน ที่บันเทิง ที่ออกกำลังกาย คือเป็นหมดทุกสิ่งทุกอย่าง มันจะเกิดความเปลี่ยนแปลง 2.การดำเนินชีวิต จะเป็นสังคมไร้การสัมผัส จะไม่แตะไม้แตะมือ ไม่จ่ายเงินสด ใช้เสียงสั่งเปิดประตูบ้าน เปิดทีวี จะไม่แตะไม่สัมผัส ไร้การสัมผัสคือ Untouched อันนี้จะเป็นสิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อไป นั่นก็คือเพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ชีวิต
3.เรื่องภาคการเกษตรไม่ใช่แค่ปลอดสารพิษ มันจะต้องดูในเรื่องระบบการผลิต ดูเรื่องดิน เรื่องน้ำ เรื่องพันธุ์ ดูแรงงาน ดูระบบการผลิตทั้งหมด ที่จะได้มีมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานการผลิต GAP มาตรฐานโรงงานการแปรรูป GMP แล้ว 3 แนวโน้มนี้มันจะเกี่ยวโยงเกี่ยวพันกับปัจจัย 4 ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค การอุปโภค-บริโภคต่างๆ แม้กระทั่งการใช้เงิน การใช้พลังงาน”
คำกล่าวของ ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการบรรยายหัวข้อ “การปรับตัวของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ที่งานสัมมนาวิชาการ “Disruptive Change : เกษตรไทยต้องเปลี่ยนโฉม” จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์เกษตรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อเร็วๆ นี้
ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ยังกล่าวถึง “10 กระแสแห่งการเปลี่ยนแปลง” ได้แก่ 1.ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี 2.โครงสร้างประชากร เกิดสังคมสูงวัยซึ่งส่งผลต่อแรงงานที่จะลดลง 3.งานบางอย่างจะหายไปแต่ก็จะมีงานใหม่ๆ เกิดขึ้น 4.วิถีชีวิตเปลี่ยน เช่น การย้ายถิ่นย้ายงาน ครอบครัวเล็กลง 5.เมืองขยายตัวมากขึ้น เกิดเมืองอัจฉริยะ (Smart City) 6.ประเด็นสุขภาพจะเน้นการป้องกันมากกว่ารักษา
7.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อากาศผันผวนมากขึ้น เช่น ฝนอาจตกตามค่าเฉลี่ย แต่จะไปกระจุกในบางพื้นที่หรือบางเวลา 8.กระแสโลกด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้น 9.พลังงานหมุนเวียนและพลังงานทางเลือก ซึ่งปัจจุบันราคายังค่อนข้างแพง เช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และ 10.เศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศในบรรยากาศตึงเครียด
ซึ่งจากที่กล่าวมาข้างต้นล้วนส่งผลต่อภาคเกษตรให้ต้องปรับเปลี่ยน ตั้งแต่การผลิตที่ต้องเน้นคุณภาพมากขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภค รวมถึง
ส่งเสริมการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า เช่น สมุนไพรที่แปรรูปเป็นยาหรือเวชสำอาง เป็นต้น มีการใช้ระบบ “ฟาร์มอัจฉริยะ” โดยกระทรวงเกษตรฯ ริเริ่มโครงการนำร่อง “1 อำเภอ 1 แปลงเกษตรอัจฉริยะ” ครบวงจรตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการตลาด
“กระทรวงเกษตรฯ เราพร้อมที่จะรับตรงนี้ นั่นก็คือสิ่งที่จะทำให้ถึงหมุดหมายเป้าหมายตรงนี้ได้ก็คือ 1.การพัฒนากำลังคนภาคการเกษตร 2.พัฒนากระบวนการ 3.ผลักดันวิจัยและนวัตกรรมการเกษตร และ4.ยกระดับความร่วมมือเครือข่ายเพื่อพัฒนาภาคเกษตรจากทุกภาคส่วน” ทองเปลว ระบุ
ปลัดกระทรวงเกษตรฯ อธิบายขยายความไปทีละข้อ 1.พัฒนากำลังคนภาคเกษตร เรื่องนี้ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดทำแผนพัฒนากำลังคนภาคเกษตรของประเทศ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่เกษตรกรรายย่อยกลุ่มเกษตรกร สถาบันด้านการเกษตร ผู้ประกอบการทางการเกษตร ตลอดจนเจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรฯ
สำหรับเกษตรกรนั้นแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ 1.1 เกษตรพอเพียง ซึ่งกลุ่มนี้มักเป็น “ผู้สูงวัย” กลุ่มนี้ต้องรักษาไว้อย่าทอดทิ้ง เพราะเป็นเกษตรพื้นฐานและที่ผ่านมาเป็นผู้ดูแลสังคมไทยยามเกิดวิกฤต 1.2 เกษตรอุตสาหกรรม หรือเกษตรแปรรูป เป็นเกษตรเชิงพาณิชย์ที่ต้องได้รับการส่งเสริมด้านเทคโนโลยี งานวิจัยและนวัตกรรม 1.3 เกษตรท่องเที่ยว ซึ่งภาคเกษตรนั้นไม่ได้อยู่โดยลำพัง แต่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจภาคอื่นๆ
2.พัฒนากระบวนการทำงาน ปรับปรุงขั้นตอนการทำงานให้สั้นลง วางแผนให้ชัดเจนในระดับพื้นที่ โดยให้แต่ละกรมในกระทรวงเกษตรฯ ทำแผนพัฒนาระดับจังหวัด อีกทั้งจะต้องใช้ระบบ “Agri-Map” ซึ่งบ่งชี้ลักษณะของแต่ละพื้นที่ เช่น ดิน น้ำ ว่าเหมาะสมกับการปลูกพืชชนิดใด ตลอดจนแนะนำแหล่งส่งผลผลิตที่ปลูกได้ไปขาย 3.ผลักดันงานวิจัยและนวัตกรรม งานวิจัยการเกษตรมีอยู่แล้วจำนวนมาก สิ่งที่ต้องคิดต่อคือจะนำไปใช้ได้อย่างไร ขณะเดียวกัน ต้องเตรียมวิจัยเกี่ยวกับทิศทางของเกษตรในยุคต่อไป
4.ยกระดับความร่วมมือเป็นเครือข่าย การพัฒนาด้านการเกษตรนั้น กระทรวงเกษตรฯ ไม่สามารถทำเองโดยลำพังได้ ต้องทำงานร่วมกับกระทรวงอื่นๆ เช่น
พาณิชย์ มหาดไทย นอกจากนี้ ปัจจุบันแต่ละจังหวัดจะมี “ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.)” ตั้งอยู่ทุกอำเภอ เป็นพื้นที่ที่ทุกหน่วยงานจะเข้าไปทำงานร่วมกันได้ รวมถึง “ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC)” ที่มีอยู่ทุกจังหวัด ตลอดจนศูนย์เครือข่ายนับหมื่นแห่ง โดยสิ่งที่สำคัญยิ่งคือการต้องมองตลอดห่วงโซ่ รวมถึงการแปรรูปและการตลาด
“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมที่จะรับความเปลี่ยนแปลง พร้อมที่จะปรับตัว เปลี่ยนแปลงตัวเอง เป็นกระทรวงที่ใหญ่ เป็นกระทรวงที่ทำงานทั้งวิชาการและบริการประชาชน” ทองเปลว กล่าวในท้ายที่สุด
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี