15 พฤศจิกายน 2564 เมื่อลมหนาวพัดเข้าสู่พื้นที่จังหวัดอำนาจเจริญ อากาศหนาวเย็นลง หลายคนต้องนำเสื้อกันหนาวออกมาสวมใส่เพื่อสร้างความอบอุ่น แต่ว่าตามชนบท บ้านเรือนใกล้ภูเขา แม่น้ำ อากาศจะหนาวเย็นเป็นสองเท่า ทำให้ผู้สูงอายุ คนเฒ่า คนแก่ ทนกับสภาพอากาศที่หนาวเย็นจับขั้วหัวใจไม่ไหว จำต้องก่อไฟผิงที่บ้าน เพื่อคลายหนาวไปตามๆกัน
จากสภาพอากาศที่หนาวเย็น จึงมีแม่ค้าสร้างวิกฤตหนาวเย็นเป็นโอกาส ด้วยการนำข้าวเหนียวมาปิ้งไฟร้อนๆขาย เรียกว่า ข้าวจี่ ทำขาย ทั้ง 2 อย่าง คือข้าวจี่โบราณและข้าวจี่ประยุกต์ หรือข้าวจี่สมัยใหม่ ราคาไม่แพง ก้อนละ 10 บาท ด้วยรสชาติ อร่อย ถูกปาก ถูกใจ ผู้นิยมทานข้าวจี่ มีให้ทานปีละ 1 ครั้ง ยืนกินพร้อมผิงไฟคลายหนาว
นางเอมอร เกตุดี อายุ 61 ปี ชาวบ้านเลขที่ 19 หมู่ที 6 ต.บุ่ง อ.เมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ แม่ค้าขายข้าวจี่ยอดนิยม เล่าว่า ข้าวจี่จะมีให้รับประทานเฉพาะฤดูหนาว ช่วงอากาศหนาวเย็นเท่านั้น เนื่องจากขนมข้าวจี่ จะต้องย่างหรือปิ้งที่เตาไฟตลอดเวลา จึงมีผู้ขายและผู้ชื้อยืนล้อมวงช่วยกันปิ้งข้าวจี่พลิกไปมา พร้อมพูดคุยกัน บางคนก็จะยืนกินไปด้วยเพื่อบรรเทาความหนาวเย็น
โดยเฉพาะนำข้าวใหม่มาทำเป็นข้าวจี่ จะมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ เป็นที่นิยมมาก ซึ่งข้าวจี่ ที่อำนาจเจริญ มี 2 แบบ คือข้าวจี่โบราณและข้าวจี่สมัยใหม่ ประยุกต์มาจากข้าวจี่โบราณ ซึ่งมีรสชาติไม่แตกต่างกันมากนัก จึงมีผู้คนหาซื้อข้าวจี่ทานแทนข้าวกันมาก ทำให้ร้านขายขนมประเภทต่างๆจะต้องทำข้าวจี่ขายควบคู่กันไปด้วย เพราะช่วงนี้ ข้าวจี่ มาแรงขายดีมาก
นางเอมอร เล่าถึงที่มาของการทำข้าวจี่โบราณ ว่าสมัยเด็กๆ เมื่อถึงฤดูหนาวอากาศโดยทั่วไปหนาวเย็น พ่อแม่ ก็จะก่อไฟผิงที่ใต้ถุนบ้าน ระหว่างนั่งผิงไฟ ก็จะมีการปั้นข้าวเหนียวลักษณะกลมๆเท่าไข่ไก่ หรือไม่ก็ใหญ่กว่าไข่ไก่ แล้วทาเกลือ นำมาปิ้งที่กองไฟ ปิ้งข้าวจี่พลิกไปมาจนมีสีเหลือง พ่อแม่ก็จะแบ่งให้กิน ด้วยรสชาติหอมมันเค็มนิดๆ กินจนอิ่มท้อง โดยไม่ต้องกินอาหารอะไรเลย จึงเป็นการเรียนรู้การทำข้าวจี่ ปิ้งข้าวจี่ มาตั้งแต่เด็ก
ต่อมา เมื่อแต่งงานมีครอบครัว จึงได้นำเอาความรู้จากการทำข้าวจี่ ปิ้งข้าวจี่ ทำไปจำหน่ายยังตลอดสดเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ ในช่วงหน้าหนาวทุกปี โดยเฉพาะช่วงนี้ อากาศเริ่มหนาวเย็น ข้าวจี่ 2 อย่าง ทั้งแบบสมัยใหม่และโบราณขายดีมาก จากที่เคยทำขายใช้ข้าวเหนียว วันละ 10 กิโลกรัม เพราะมีผู้บริโภคเพิ่มขึ้น จึงต้องใช้ข้าวเหนียวเพิ่มเป็นวันละ 20 – 30 กิโลกรัม สร้างรายได้เป็นอย่างดี
สำหรับวิธีทำข้าวจี่โบราณ ไม่ได้ยุ่งยากอะไร เริ่มแรกให้แช่(หม่า)ข้าวเหนียวจนได้ที่ แล้วนำไปนึ่งให้สุก ต่อมานำข้าวเหนียวสุกมาปั้นเท่าฝ่ามือโรยด้วยเกลือ แล้วเอาไปวางที่เหล็กปิ้งบนเตาไฟ พลิกไปมา จนข้าวเหนียวออกสีเหลืองอมส้ม ก็สามารถรับประทานได้ จำหน่ายก้อนละ 10 บาท ซึ่งที่นี่จะแถมแจ่วให้ 1 ถุงเล็ก เพื่อจิ้มกับข้าวเหนียว เรียกว่า ข้าวจี่โบราณ ที่มีรสชาติอร่อยแซ่บถึงใจ นอกจากนี้ยังขายข้าวต้มมัดญวน(เวียดนาม) ควบคู่กันด้วย
นางเอมอร กล่าวถึงวิธีทำข้าวจี่สมัยใหม่หรือข้าวจี่ประยุกต์ว่า เริ่มแรกให้เอาข้าวเหนียวที่นึ่งจนสุกแล้ว ไปคลุกเคล้ากับกะทิมะพร้าว เรียกว่า ข้าวเหนียวมูล ต่อมานำไข่ไก่ ตอกใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ ใส่น้ำปลาลงไปตีไข่ให้เข้ากัน เสร็จแล้วนำข้าวเหนียวมูลปั้นเป็นก้อนเท่าลูกไข่ไก่แล้วชุบกับไข่ไก่ทาให้ทั่ว
ต่อมานำไปปิ้งที่เหล็กปิ้งบนเตาถ่าน พริกไปมาจนข้าวเหนียวมูลมีสีเหลืออมส้ม ก็เป็นอันแล้วเสร็จ ด้วยรสชาติหอมอร่อย ทานแล้วร่างกายอบอุ่นคลายหนาวได้ระดับหนึ่ง ที่สำคัญมีให้ทานปีละ 1 ครั้ง ขายทั้งข้าวจึ่โบราณและข้าวจี่ประยุกต์ ก้อนละ 10 บาทเท่ากัน ด้วยราคาไม่แพง ทานอิ่มท้อง ลูกค้าตรึม โกยเงินเข้ากระเป๋าเป็นอย่างดี. 012
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี