“วัดอโศการาม” ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ เป็นอีกหนึ่งในดินแดนมหัศจรรย์ เพราะองค์ท่านพ่อลี ธมฺมธโร ได้นำพลังของพ่อแม่ครูอาจารย์ฯทั่วสารทิศ พร้อมด้วยศรัทธาญาติโยมเนรมิตวัดอโศการามขึ้นด้วย “ธรรม” โดยมี “พระพุทธเจ้า” หรือ องค์สมณโคดมบรมครู เป็นผู้ที่ “มหัศจรรย์” เพียงหนึ่งเดียว และ “เป็นหนึ่งไม่มีสอง” อันนำมาสู่ความเป็นพื้นที่แห่งธรรมของ “วัดอโศการาม” อันโดดเด่นในประเทศไทย
ธรรมตอนหนึ่งของท่านพ่อลีในหนังสือ “ลมกับจิต” บันทึกโดยแม่ชีอรุณ อภิวณฺณา เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ.2501 มีใจความว่า ถ้าเรารู้เรื่องธรรมดาของโลก และ รู้จักความเป็นจริงของธรรมแล้ว เราก็จะไม่ต้องมีความยุ่งยากในการเป็นอยู่ เรื่องภายนอกนั้น ถึงเราจะศึกษาให้มีความรู้สักเท่าไรๆ ก็ไม่ทำให้เราพ้นจากทุกข์ได้ สู้การเรียนรู้จิตใจของตนอยู่ภายในวงแคบๆนี้ไม่ได้
“เรื่องของโลกยิ่งเรียนก็ยิ่งกว้าง เรื่องของธรรมยิ่งรู้ก็ยิ่งแคบ และ รู้แคบเท่าไรก็ยิ่งดี ถ้ารู้กว้างออกไปมักฟุ้งซ่าน เป็นเหตุให้เกิดความไม่สงบ ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับการเดินไปในหนทางที่แคบๆย่อมจะไม่มีใครกล้าเดินสวนทางเข้ามาชนกับเราได้ ส่วนคนเดินตามหลังนี้ช่างเขา เมื่อไม่มีใครสวนทางเข้ามาข้างหน้าแล้ว คนที่จะเดินบังหน้าเราก็ไม่มี เราก็จะมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าออกไปได้ไกลที่สุดฉันใด ผู้ทำจิตให้แคบเข้าละเอียดเข้าก็เกิดความวิเวกสงบ เกิดแสงและเกิดวิปัสสนาญาณ มองเห็นอดีต อนาคต และปัจจุบันได้ทุกอย่าง”
ท่านพ่อลี หรือ หลวงพ่อลีแห่งวัดอโศการามนั้น องค์ท่านมีปฏิปทาการปฏิบัติเดินตามรอยขององค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก้ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ด้านสาขาสันติภาพ ระหว่างปี 2563-2564 เพราะฉะนั้นในช่วงปี 2505 หลังจากที่ท่านพ่อลีได้มรณภาพลงแล้ว ช่วงเวลาก่อนงานครบรอบ 1 ปี ของการละสังขารขององค์ท่าน ทางวัดอโศการามจึงได้นิมนต์พ่อแม่ครูอาจารย์ฯมาสวดพระพุทธมนต์ และ เมตตาอธิษฐานจิต อาทิ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม, หลวงปู่สิม พุทธาจาโร, หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ และ ฯลฯ
ก่อนที่ท่านพ่อลีจะละสังขารนั้น ในระหว่างปี 2503-2504 ท่านพ่อลีได้เมตตาให้พระอาจารย์ประยูร จิตตสนฺโต ปั้นพระพุทธรูปที่มีแต่องค์เศียร เพื่อนำไปประกอบกับองค์พระซึ่งได้มีการจัดสร้างไว้ที่วัดเวฬุวัน (วัดเขาจีนแล) จังหวัดลพบุรี ต่อมาเมื่อปั้นส่วนเศียรเสร็จตามดำริของท่านพ่อลี เมื่อถึงวันเคลื่อนย้ายองค์เศียรเพื่อไปประกอบกับองค์พระโดยใช้รถเครนยกขึ้นรถบรรทุก แต่ปรากฎว่าเกิดเหตุการณ์ไม่สามารถยกองค์เศียรขึ้นไปได้ แม้พยายามใช้เครื่องมือยกต่างๆทั้ง เครน และ เครื่องยกที่มีอยู่ในสมัยนั้น
ท่านพ่อลีจึงปรารภว่า “เมื่อองค์เศียรของพระพุทธรูปนี้ ต้องการอยู่ที่วัดอโศการามแห่งนี้ ก็นิมนต์ให้ท่านอยู่ที่นี่ต่อไป”
จึงเป็นที่มาของ “หลวงพ่อเศียร” ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะแก่พุทธศาสนิกชนที่มีโอกาสไปวัดอโศการาม และ ต่อมาในปัจจุบัน”วัดวังทองธมฺมธโร” จังหวัดสุโขทัย ซึ่งเป็นหนึ่งในวัดสาขาของวัดอโศการาม มีการจัดสร้างหลวงพ่อเศียร (จำลอง) เพื่อเป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาของพุทธศาสนิกชนในพื้นที่
สำหรับ “วัดวังทองธมฺมธโร” ตั้งอยู่ที่ตำบลกกแรต อำเภอกงไกรลาส จังหวัดสุโขทัย มีพื้นที่ติดริมแม่น้ำยม มีประวัติเป็นวัดร้างเก่าแก่อายุกว่า 700 ปี โดยตามบันทึกของชาว จ.สุโขทัย วัดแห่งนี้สร้างขึ้นสมัยพระยาลิไท ต่อมาในยุคปัจจุบัน พระอาจารย์ประเทือง ชุติปณฺโญ พ่อแม่ครูอาจารย์ฯแห่งวัดอโศการาม ซึ่งท่านมีอายุพรรษ 47 ปี ในเวลานั้น ได้ออกจาริกธุดงค์มายังสถานที่วัดร้างแห่งนี้ จึงเห็นว่าเป็นสถานที่สัปปายะ เหมาะแก่การภาวนา จึงได้มาอยู่จำพรรษาและทำการบูรณะวัดแห่งนี้
ต่อมาในปี 2563 พระอาจารย์ประเทืองได้มรณภาพลง ทำให้ท่านเจ้าคณะอำเภอเมือง จ.สุโขทัย เข้าพบ พระมหาสามเรือน ปุญฺเญสโก หรือ ปัจจุบัน คือ “พระครูปลัดสุวัฒนญาณคุณ” เจ้าคณะตำบล จ.สมุทรปราการ (ธรรมยุต) และ เจ้าอาวาส วัดอโศการาม เพื่อมอบวัดวังทองให้เป็นสาขาของวัดอโศการาม โดยยึดปฏิปทาองค์ท่านพ่อลีเป็นแนวทางปฏิบัติในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน โดยขณะนี้มีเสนาสนะในวัด ได้แก่ ศาลาการเปรียญชั่วคราว 1 หลัง , กุฏิรับรอง 3 หลัง , กุฎิที่พัก 5 หลัง , ศาลาท่านพ่อลี 1 หลัง , ศาลาหลวงพ่อเศียร 1 หลัง , โรงน้ำปานะ 1 หลัง และ เรือนพักอุบาสิกา 1 หลัง
เมื่อพระอาจารย์ประเทืองมรณภาพลง ต่อมา “พระอาจารย์เผียน ผาสุกาโม” ซึ่งท่านเป็นพระภิกษุสังกัดวัดอโศการาม ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดวังทองฯ โดยมีพระภิกษุจำพรรษาจำนวน 5 รูป และ ในแต่ละปักษ์ปาฏิโมกข์ ทางวัดอโศการามจะส่งพระภิกษุไปสวดปาฏิโมกข์ เพื่อให้มีโอกาสทบทวนศีลปาฏิโมกข์ รวมทั้งในแต่ละวันมีข้อวัตรที่เป็นไปตาม “ศีล สมาธิ ภาวนา” ด้วยการเริ่มออกบิณฑบาตเมื่อรุ่งอรุณ ต่อมาเวลา 07.30 น. ฉันจังหันเช้า และ ทำวัตรเช้า เวลา 09.00 น. ต่อด้วยการทำกิจวัตรส่วนตัว ตั้งแต่เวลา 10.00-12.00 น. , เดินจงกรม-ภาวนา ในเวลา 13.00-16.00 น. ตามด้วยกวาดตาดและฉันน้ำปานะ และ กลับมาทำวัตรเย็นในเวลา 18.00 น. ซึ่งจะปิดท้ายของวันด้วยการภาวนา - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี