กรุงเทพมหานคร (กทม.) เมืองหลวงปัจจุบันของประเทศไทย ผ่านร้อนผ่านหนาวต่างๆ มานานกว่า 2 ศตวรรษ (ในปี 2565 จะครบ 240 ปีการสถาปนากรุงเทพฯ) รวมถึงสถานการณ์ปัจจุบันอย่างการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ “เมือง” มาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งเพื่อตอบโจทย์ “ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal)”ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ มีการเปิดวงเสวนา “กรุงเทพในอนาคตเป็นของใคร” จัดโดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)
วิพัตรา โตเต็มโชคชัยการ นักวิจัยด้านการคาดการณ์อนาคตFutureTales Lab by MQDC กล่าวว่า ในอนาคตการใช้ชีวิตจะให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพ เห็นได้จากสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน ส่งผลให้จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวบางส่วนเพื่อที่จะให้ภาครัฐสามารถบริหารจัดการเรื่องสุขภาพได้ดีมากขึ้น เทคโนโลยีในอนาคตอย่าง “HealTech” จะเข้ามามีบทบาทในสังคมเป็นอย่างมาก จึงทำให้ประชาชนสามารถสร้างข้อมูลผู้ป่วยขึ้นมาได้เอง โดยส่งให้แพทย์รักษาได้อย่างท่วงที นอกจากนี้“Indoor Technology” จะต้องมีเทคโนโลยีสุขภาพเข้ามาเกี่ยวข้อง
เช่น การออกสภาพอากาศระดับเมืองและภายในบ้านให้ดีมากขึ้น ซึ่งในต่างประเทศอย่างเมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ มีการออกแบบเมืองให้มีการสอดรับกับความปลอดภัยด้านสุขภาพโดยการสร้าง “Social distancing dashboard” เพื่อให้ประชาชนทราบถึงความหนาแน่นของประชาชนในเมือง เพื่อที่จะได้เตรียมการเว้นระยะห่างทางสังคมได้อย่างท่วงที การทำงานและการเรียนจะเปลี่ยนไปเนื่องจากถูกบังคับให้ต้องทำงานหรือเรียนที่บ้าน ซึ่งด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารออนไลน์ทำให้ประชาชนมีวิถีชีวิตรูปแบบใหม่
แต่ก็มีประชาชนบางกลุ่มที่ต้องการการสนับสนุน เช่น นักเรียนที่ไม่มีอุปกรณ์ในการเรียนออนไลน์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในสังคม อีกทั้งงานในเมืองจะเปลี่ยนไป เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 โดยมีความคิดในการใช้หุ่นยนต์ทำงานแทนมนุษย์ ซึ่งทั่วโลกมองว่าอีกนานกว่าจะเข้ามา แต่จากหลังโควิด-19 คนจะรู้สึกว่าการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน อาจจะสร้างความกลัวมากกว่าความสนุก เพราะฉะนั้นการเข้ามาของหุ่นยนต์ในการทำงานแทนมนุษย์ จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
วิพัตรา กล่าวต่อไปว่า อนาคตของกรุเทพมหานครในการพัฒนาเมืองจะขึ้นอยู่กับเทรนด์ใหญ่ (Megatrend) 7 เรื่อง ได้แก่ 1.Wellbeing For All ผู้คนจะใส่ใจในเรื่องของความเป็นอยู่ คุณภาพชีวิตที่ดีและสุขภาวะที่ดีของทุกสิ่งมีชีวิต ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่มนุษย์เพียงอย่างเดียว 2.Wise Nation ซึ่งในปี 2568 จะมีแรงงานผู้สูงอายุมากขึ้น จะต้องนำจุดเด่นของผู้สูงอายุมาแบ่งปันให้กับคนเจเนอเรชั่นใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเมืองได้ดี โดยกลุ่มคนรุ่นใหม่จะใช้ประสบการณ์ที่เป็นจุดแข็งของผู้สูงอายุ ซึ่งจะทำให้เป็นสังคมที่ชาญฉลาดได้
3.Data Dominance โดยประเทศจะขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ซึ่งมีประโยชน์กับสมาร์ทซิตี้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต 4.Platform Transparency จากสถิติในการประท้วงทั่วโลกเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.5 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแปลว่าการออกมาเรียกร้องของประชาชนทั่วโลกมีจำนวนมาก เพราะฉะนั้นความจำเป็นต่อการสร้างแพลตฟอร์มที่โปร่งใสของภาครัฐ เป็นสิ่งสำคัญในการที่ประชาชนมีส่วนร่วม ในการสร้างเมืองที่ตรงความต้องการของประชาชน 5.Waste to Jobs คือการจัดการขยะไร้ประสิทธิภาพ จะทำให้สร้างงานให้กับคนมากขึ้นเช่นกัน
6.Health Holidays เนื่องจากประเทศไทยมีเรื่องของเศรษฐกิจการท่องเที่ยงเป็นที่หนึ่ง แต่การปรับตัวในอนาคตจะต้องทำเรื่องการพักผ่อนด้านสุขภาพ หรือกลุ่มชาวต่างชาติที่เกษียณอายุและอยากอาศัยที่ไทย และ 7.Village Harmony เนื่องจากประชาชนให้ความสนใจด้านสุขภาพมาขึ้น จึงทำให้เลือกใช้ชีวิตในชนบทมากขึ้น ซึ่งช่วยลดความแออัดในเมืองได้เป็นอย่างดี
รศ.ดร.นพ.กำพล ศรีวัฒนกุล ประธานกฎบัตรสุขภาพ กล่าวว่า ความสุขของประชาชนทุกคนพึงต้องการ คือ “มีความมั่นคง มีที่พักอาศัย และมีงานทำ” ซึ่งทำให้อนาคตของกรุงเทพฯ เป็นในทางดี จากการวัดความสุขของมวลประชาชาติ ที่จัดตั้งโดยสหประชาชาติ (UN) พบว่าประเทศไทยมีความสุขของมวลประชาชาติอันดับที่ 54 ของโลก ส่วนอันดับที่ 1 คือประเทศฟินแลนด์
ส่วนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) มีสูงกว่าไทย คือ ประเทศสิงคโปร์ ที่อยู่ในอันดับที่ 30 ของโลก โดยตัวชี้วัดที่ทำให้ประสบความสำเร็จด้านความสุข ได้แก่ 1.ธรรมาธิบาล ถ้าสังคมมีความเหลื่อมล้ำมาก ความสุขของคนในประเทศจะไม่ค่อยมี 2.การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ถ้าหากไม่สามารถที่จะพัฒนาให้ประชาชนมีรายได้อย่างเหมาะสม จะทำให้ประชาชนไม่มีความสุขเช่นกัน 3.วัฒนธรรม ใช้วัฒนธรรมเข้ามาเชื่อมโยงกับวิถีชีวิต และยอมรับวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน และ
4.ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ทุกคนต้องการแม่น้ำลำคลองที่สะอาด และไม่มีกลิ่นรบกวน แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ “ถ้าประชาชนมีปัญหาสุขภาพก็คงมีความสุขไม่ได้” จึงอย่ามองปัญหาโควิด-19 เป็นเรื่องระยะสั้น แต่จะต้องเรื่องรู้ที่อยู่ร่วมกันและจัดการอย่างเป็นระบบ และอย่าทิ้งปัญหาโรคภัยอื่นๆ เช่น ไวรัสตับอักเสบ ไวรัสเอชไอวี (เอดส์) และโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง จึงจำเป็นต้องดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อให้เกิดความสุขของคนในเมือง
ผศ.ดร.ไตรทศ ขำสุวรรณ อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม กล่าวว่า การสร้างความสุขของคนในกรุงเทพฯ จะต้องเข้าใจก่อนว่าการใช้ชีวิตของคนในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ที่ต้องการคือเรื่องของความปลอดภัย ความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต และความสุขในการดำรงชีวิต นอกจากนี้ยังต้องยอมรับว่ากรุงเทพฯ มีความหลากหลายในช่วงอายุ และมีพื้นที่ทั้งหมด 30 กว่าเขต
ซึ่งแต่ละพื้นที่มีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน การที่จะทำให้เกิดความสุขที่เป็นมาตรฐานขั้นต่ำจึงมีไม่เท่ากัน ถ้ามองผ่านเรื่องความเหลื่อมล้ำออกไป การใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะพื้นที่ชุมชน แต่ละเขตความมีกรอบเรื่องการใช้ชีวิตให้มีสุขลักษณะที่ดี การไม่ทะเลาะกับเพื่อนบ้าน และการเดินทางในระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อให้ตอบโจทย์กับคนในกรุงเทพฯ
ปารีณา ประยุกต์วงศ์ สมาคมเครือข่ายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน กล่าวว่า คนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ มีประมาณ 20 ล้านคน แต่ไม่ใช่คนในกรุงเทพฯ จริงๆ ซึ่งมีอยู่ประมาณร้อยละ 20-30 เท่านั้น เรื่องของ “Active Citizen” หรือ “การมีส่วนร่วมของคนในสังคม” จึงเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความสุขซึ่งทุกคนในกรุงเทพฯ มีสิทธิ์เข้าถึงความสุขในเชิงเศรษฐกิจ ความสุขในเชิงสิ่งแวดล้อมที่ดี ความสุขในการอยู่ในสังคมที่ดี และความสุขในสุขภาวะที่ดี แต่ต้องเคารพสิทธิ์กันและกัน
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี