‘รร.บ้านท่าตาฝั่ง’จัด‘เบบี้บังเกอร์’ซ้อมหลบภัยสงคราม พร้อมเสียงสะท้อนถึงภาครัฐ
3 กุมภาพันธ์ 2565 ที่โรงเรียนบ้านท่าตาฝั่ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ครูและนักเรียนกว่า 100 คนได้ร่วมกันซ้อมหนีภัยซึ่งเป็นผลกระทบจากการสู้รบระหว่างทหารกองทัพพม่าและกองกำลังทหารสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) ในบริเวณตรงข้ามแม่น้ำสาละวิน รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา
นายสายัณ โพธิ์สุวรรณ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านท่าตาฝั่ง ให้สัมภาษณ์ว่า โรงเรียนบ้านท่าตาฝั่งมีเด็กนักเรียนอยู่ 132 คน ซึ่งครั้งนี้เป็นการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เกิดเหตุลูกกระสุนปืนใหญ่จากอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำสาละวินข้ามมาตกในบริเวณใกล้หมู่บ้าน โดยมีกิจกรรม 2 แบบคือการซ้อมหลบภัยและการเยียวยา ซึ่งการซ้อมหลบภัยนั้นได้ทหารพรานจากกรมทหารพรานที่ 36 มาร่วมเป็นวิทยากรให้ โดยทำความเข้าใจกับเด็กๆว่า หากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นควรปฎิบัติอย่างไร และให้ตระหนักถึงภัยรอบตัวอย่างไรบ้าง การหนีเข้าหลุมหลบภัยซึ่งทางโรงเรียนจัดขึ้นควรเข้า-ออกอย่างไร ขณะที่หากเกิดเหตุในตอนกลางคืนก็ต้องเข้าไปหลบที่บังเกอร์ใกล้บ้าน ในการฝึกซ้อมได้จัดเป็นโซนยึดตามสภาพพื้นที่ว่าห้องเรียนชั้นใดควรวิ่งไปก่อน และจะเคลื่อนไปจุดไหน เพื่อเวลาเกิดเหตุจะได้ไม่ฉุกละหุกโดยมีสัญญาณเสียงแจ้งให้ทราบ แต่การซ้อมในวันนี้ยังไม่ได้ซ้อมเคลื่อนไปจุดรวมพลของหมู่บ้าน
“วันนี้เด็กๆก็ดูสนุกสนานกันตามประสา แต่ของจริงคงไม่สนุกแบบนี้ เราพยายามทำให้พวกเขาเห็นการจำลองของจริง วันนี้สภาพจิตใจของพวกเขาดีกว่าเดิมเยอะ แตกต่างจากเมื่อตอนเกิดเหตุที่มีการสู้รบบริเวณฝั่งตรงข้ามครั้งก่อน ตอนนั้นเด็กๆบ้านท่าตาฝั่งต้องอพยพหนีตามพ่อแม่ไปอยู่ในลำห้วย มีหญิงชาวบ้านคนหนึ่งเป็นคนตกใจง่ายเพราะได้รับผลกระทบจากชีวิตในอดีต พอได้ยินเสียงระเบิดเธอตกใจมากถึงขนาดโยนลูกน้อยที่เธออุ้มไว้ โชคดีที่เด็กไม่เป็นอะไรมาก เราเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ควรมีการเยียวยา”นายสายัณ กล่าว
ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านท่าตาฝั่ง กล่าวว่าการเยียวยาคือทำให้ทุกคนได้รู้สึกไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ครั้งก่อนที่เด็กๆต้องหนีไปหลบในลำห้วย ก็มีทีมตามเข้าไปโดยเอาข้าวของไปแจกและจัดหาห้องน้ำให้เพื่อให้เขาได้รู้ว่าไม่อยู่คนเดียว ขณะนี้ได้เตรียมข้าวของ เช่น มีตุ๊กตาเล็กๆข้างในมีเม็ดถั่วเขียวให้เด็กๆบีบเล่นเพื่อผ่อนคลาย เป็นกิจกรรมเพื่อให้ออกจากความเจ็บปวด หรือถ้ามีกรณีเจ็บป่วยเราได้หารือกันเรื่องการส่งต่อไปยังสถานพยาบาล ซึ่งสถานการณ์เฉพาะหน้าเช่นนี้เราไม่สามารถคาดการณ์ได้จึงต้องเตรียมพร้อมเสมอ บางครั้งยิงต่อสู้กันก็ไม่ส่งผลกระทบฝั่งไทย แต่บางครั้งก็กระทบ แต่ในพื้นที่บ้านท่าตาฝั่งการสื่อสารค่อนข้างมีข้อจำกัดและติดต่อภายนอกยาก เพราะสัญญาณอินเตอร์เน็ตไม่ดี หากเกิดเหตุจึงกลัวว่าการสื่อสารกับหน่วยที่เกี่ยวข้องได้ยาก
ผู้สื่อข่าวถามว่าอยากให้รัฐหรือสังคมช่วยสนับสนุนอย่างไรบ้าง นายสายัณ กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือการให้การศึกษาที่ถูกกับสถานการณ์ ช่วยสร้างความเข้าใจและจิตสำนึกเกี่ยวกับสถานการณ์ เช่น เมื่อเกิดเหตุบางคนมีทัศนะไม่ดีต่อสงคราม ดังนั้นต้องทำความเข้าใจว่าสถานการณ์เช่นนี้อยู่นอกเหนือการควบคุม เราจึงต้องให้เด็กๆอยู่กับสถานการณ์เช่นนี้ให้ได้ เพื่อให้เด็กๆเกิดท่าทีที่ถูกต้อง
“ขณะนี้เรามีครูอาสาอยู่ 6 คน เงินเดือน 6 พันบาท แค่ค่าใช้จ่ายต่างๆรวมทั้งค่าอินเตอร์เน็ต พวกเขาก็แทบไม่มีเงินเดือนเหลือทุกวันนี้พวกเขาทำงานตามกำลังเท่าที่ทำได้ เราควรสนับสนุนเขา หรือกรณีงอินเตอร์เน็ต ทำอย่างไรที่จะได้สัญญาณที่แรงกว่านี้ ทุกวันนี้เราถ้าอยากได้สัญญาณที่แรงพอที่จะติดต่อกับโลกภายนอก ส่งภาพได้ เราต้องซื้อจากเอกชนวันละ 30 บาทจริงๆแล้วอยากได้เหมาจ่ายรายจ่ายเดือนๆละ 7 พันบาท แต่เราไม่มีงบประมาณ เราอยากทำสนามฟุตบอลและหญ้าเทียมให้เด็กๆชายแดนในชุมชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำสาละวินได้มาเล่นกีฬากัน ตอนนี้ได้เขียนโครงการขอไปยังเอกชนรายหนึ่ง แต่ไม่รู้จะได้หรือไม่ การเล่นกีฬาทำให้เยียวยาและลืมความเลวร้าย หากได้สนามมาตรฐาน อนาคตอาจมีช้างเผือกของที่นี่ไปแข่งในระดับชาติก็ได้”ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านท่าตาฝั่ง กล่าว
ด้านนายสันติพงษ์ มูลฟอง ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายสถานะบุคคลจังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวว่า ชาวบ้านที่หนีภัยการสู้รบและเดินทางมาประชิดชายแดนไทยนั้น เกิน 50 % เป็นเด็กที่ต้องมากับครอบครัวและต้องเดินทางกลับเมื่อครอบครัวกลับ แต่ที่เป็นห่วงคือเด็กกลุ่มที่ต้องเดินทางมาด้วยตนเองโดยเฉพาะเข้ามาเรียนหนังสือในฝั่งไทย โดยเด็กเหล่านี้รู้ว่าพื้นที่ใดปลอดภัยจึงเข้ามาอาศัยอยู่ แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่คือหลายโรงเรียนต้องกลายเป็นหอพักกินนอนเพื่อรองรับเด็กข้ามแดนกลุ่มนี้ ขณะที่อีกหลายโรงเรียนบริเวณชายแดนกลับไม่ยอมรับเด็กเข้าเรียน แม้จะมีกฎหมายด้านการศึกษาระบุไว้ชัดเจนว่าห้ามปฏิเสธเรื่องการศึกษา แต่หลายโรงเรียนกลับไม่ยอมรับจนเด็กๆต้องเดินผ่านไปเรียนในโรงเรียนที่ไกลกว่า เข้าใจว่าตัวผู้บริหารโรงเรียนอาจกลัวว่าจะถูกฝ่ายความมั่นคงเพ่งเล็ง
นายสันติพงษ์กล่าวว่า ขณะเดียวกันปัจจุบันยังมีปัญหาเรื่องสถานภาพทางกฎหมายของเด็กกลุ่มนี้และรัฐไทยก็ยังไม่ได้กำหนดไว้ชัดเจน แต่โดยสถานะด้านการศึกษา พวกเขาเป็นเด็กตัวจีและยังไม่ได้ทำทะเบียนประวัติ อย่างไรก็ตามที่ซับซ้อนกว่านั้นคือ โรงเรียนตามแนวชายแดนหลายแห่ง เช่น โรงเรียนบ้านท่าตาฝั่ง โรงเรียนบ้านสบเมย โรงเรียนบ้านแม่สามแลบ เป็นพื้นที่ที่ร้อนแรงจากเหตุสู้รบ โดยเฉพาะโรงเรียนบ้านท่าตาฝั่งที่เคยมีลูกกระสุนปืนใหญ่มาตกที่สนาม
“ปกติเด็กๆโรงเรียนนี้วิ่งหลบไปอยู่ใต้ถุนอาคารเรียนหลังหนึ่ง หลังจากเหตุการณ์ครั้งก่อน ทางโรงเรียนมีไอเดียร์เรื่องทำเบบี้บังเกอร์ ซึ่งมีเอกลักษณ์คือเป็นพื้นที่ปลอดภัยแต่เป็นมิตรสำหรับเด็กด้วย เพราะหากเป็นบังเกอร์ทหารทั่วไปก็ดูแล้วน่าระทึกใจ แต่ทางโรงเรียนไม่อยากให้เด็กกลัว จึงสร้างบังเกอร์ที่ไม่เหมือนของทหาร วาดเป็นรูปตุ๊กตาบ้าง รูปนกบ้าง มีบันไดขึ้นลงซึ่งในเวลาปกติกลายเป็นสนามเด็กเล่นด้วย”นายสันติพงษ์ กล่าว
นายสันติพงษ์กล่าวว่า ทางเครือข่ายฯได้เข้าไปให้การสนับสนุนการสร้างบังเกอร์ในโรงเรียนบ้านท่าตาฝั่ง นอกจากนี้ยังได้ฝึกอบรมบุคลากรในเรื่องการบำบัดเยียวยาโดยมีนักจิตวิทยามาร่วมเป็นวิทยากร ซึ่งการฝึกซ้อมหนีภัยในวันนี้บุคลากรที่ผ่านการฝึกอบรมได้มาร่วมใช้วิชาความรู้ด้วย
“ปีที่แล้วตอนเกิดเหตุการณ์สู้รบในฝั่งตรงกันข้าม เด็กๆหวาดผวามาก บางคนกลัวจนไม่กล้าห่างจากแม่ บางคนนอนฉี่ราด บางคนไม่กล้าพูดกับคนแปลกหน้า เด็กๆเหล่านี้ควรได้รับการเยียวยาที่ถูกต้อง ในปีนี้เราได้เตรียมกระเป๋าเป้ข้างในมีตุ๊กตาไว้ให้ เราได้ความรู้มาว่าหากเด็กเครียด ตุ๊กตาเหล่านี้จะช่วยลดความเครียดได้”นายสันติพงษ์ กล่าว
สำหรับโรงเรียนบ้านท่าตาฝั่ง อยู่ติดกับแม่น้ำสาละวิน ซึ่งบริเวณเยื้องๆคือฐานดากวินซึ่งมีทหารพม่าประจำการอยู่และเป็นฐานใหญ่สุดของทหารพม่าริมแม่น้ำสาละวิน โดยเป็นเป้าหมายสำคัญที่กองกำลังกะเหรี่ยง KNU ต้องการที่จะผลักดันให้ออกไป เนื่องจากสร้างปัญหาให้กับชุมชนลุ่มน้ำสาละวิน เช่น มีการดักปล้นเรือและยิงปืนขู่เพื่อขอเสบียงอาหาร โดยเมื่อปีก่อนทหาร KNU ได้โอบล้อมฐานดากวินและเตรียมปฎิบัติการ ทำให้กองทัพพม่าต้องส่งเครื่องบินรบมาทิ้งระเบิดรอบบริเวณฐานจนทำให้มีระเบิดข้ามมาตกฝั่งไทยบริเวณบ้านท่าตาฝั่ง เนื่องหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่บนโค้งน้ำที่เว้าเข้าไป
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี