กระแสรักสุขภาพแรงไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ "หจก.5468 เทรดดิ้ง" เผยยอดขายยังไปได้สวย เจาะกลุ่มคนชอบดื่มกาแฟสมุนไพรเพื่อสุขภาพ ล่าสุดนำเคล “ราชินีผักใบเขียว” และ บีทรูท ทำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เจาะตลาดคนไม่ชอบทานผัก หรือทานผักน้อยในแต่ละวันโดยตลาดในไทยมีการบริโภคสมุนไพรเป็นอันดับ 8 ของโลก คิดเป็นมูลค่ากว่า 49,000 ล้านบาท ขณะที่ห่วงโซ่ทั้งระบบของสมุนไพรไทย มีมูลค่าสูงถึง 18,200 ล้านบาท
คุณจิรัชฌา อุดมชัยสกุล ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัด 5468 เทรดดิ้ง ผู้ทำตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อสุขภาพ “ตรา 5468” กล่าวว่า กระแสรักสุขภาพไม่เพียงแต่เป็นกระแสของโลก ซึ่งกำลังเติบโตด้วยดีเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้ธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่มีส่วนผสมของสมุนไพรไทยนั้นมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย หจก.5468 เทรดดิ้ง ทำตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสมุนไพรเพื่อสุขภาพ ภายใต้ “ตรา 5468” เข้าสู่ปีที่ 9 ได้รับผลตอบรับจากผู้บริโภคและร้านค้าที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรซึ่งมีกว่า 500ร้านค้า ทั่วประเทศ และช่องทางจำหน่ายออนไลน์ เช่น ลาซาด้า และ ช๊อปปี้ ทำให้มียอดขายที่สามารถอยู่ได้ ท่ามกลางวิกฤตการระบาดโควิด-19
ทาง หจก.5468 เทรดดิ้ง ทำตลาดเครื่องดื่มสมุนไพรเพื่อสุขภาพมาประมาณ 9 ปี ซึ่งผลตอบรับค่อนข้างดี เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของเราตอบโจทย์คนรักสุขภาพ ได้รับการยอม รับจากผู้บริโภคอย่างมาก โดยเฉพาะกาแฟสำเร็จรูปตรา5468 ซึ่งจัดเป็นกาแฟเพื่อสุขภาพโดยเฉพาะจุดเด่น 3 ข้อ คือ ข้อแรก คือ เป็นกาแฟที่ไม่มีส่วนผสมของครีมเทียมจากน้ำมันพืช เราใช้ผงถั่วดาวอินคาและโปรตีนถั่วเหลืองให้ความมันในกาแฟแทนครีมเทียมจากน้ำมันพืช
ดังนั้น จึงปลอดภัยจากไขมันทรานส์และโคเลสเตอรอลในระยะยาว อีกทั้งยังได้สรรพคุณที่ดีของน้ำมันดาวอินคาที่อยู่ในผงถั่วดาวอินคาอีกด้วย จุดเด่นข้อที่2 ได้แก่ กาแฟตรา 5468ไม่มีน้ำตาลทราย เราใช้ซูคราโลสและสารสกัดหญ้าหวานให้ความหวานแทนน้ำตาลทราย สารทดแทนความหวานทั้ง2 ชนิดเป็นเพียงสารแต่งรสหวานเท่านั้น เมื่อรับประทานแล้วจะถูกขับออกจากร่างกายไม่ดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด จึงไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด เป็นกาแฟที่ผู้เป็นเบาหวานรับประทานได้อย่างปลอดภัยหรือแม้แต่ผู้จำกัดน้ำตาล จำกัดน้ำหนัก
"จุดเด่นสุดท้ายคือกาแฟ 5468 เพิ่มคุณค่าการดื่มกาแฟตามปกติด้วยการเพิ่มคุณค่าจากสมุนไพรที่ทรงคุณค่าและเป็นที่ยอมรับในคุณประโยชน์ 5 ชนิด กาแฟตรา 5468 จึงมี 5 สูตรแยกตามชนิดของสมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบ คือ สูตรยอดฮิตจะผสมสารสกัดเห็ดหลินจือ สูตรที่ 2 คือ ผสมสารสกัดกระชายดำสูตรที่ 3 ผสมสารสกัดโสม สูตรที่ 4 ผสมสารสกัดใบแปะก๊วย ทั้ง4สูตรที่กล่าวเป็นกาแฟ 3 อิน 1 วัน เราใช้ผงถั่วดาวอินคาและโปรตีนถั่วเหลืองแทนครีมเทียมจากน้ำมันพืช ส่วนสูตรที่ 5 เป็นกาแฟดำที่ผสมสารสกัดถั่งเช่าสำหรับคนชอบกาแฟดำและใช้หญ้าหวานต่งรสหวาน กาแฟ 5 สูตรตรา5468นับเป็นหัวหอกที่ทำยอดขายหลักของบริษัท" ผู้จัดการ หจก.5468 เทรดดิ้ง กล่าว
คุณจิรัชฌา ยังมองว่า เหตุผลที่ผลิตภัณฑ์กาแฟสมุนไพรเพื่อสุขภาพมีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สวนวิกฤตโควิด-19 เพราะคนยุคปัจจุบันการดื่มกาแฟเป็นเสมือนปัจจัยที่ 5 ซึ่งขาดไม่ได้
ปัจจุบันทาง หจก.5468 เทรดดิ้ง ยังได้ออกสินค้าตัวใหม่ นับเป็นสินค้านางเอกที่กำลังมาแรง โดยเน้นเจาะตลาดผู้บริโภคที่ไม่ชอบทานผัก หรือทานผักน้อยมากในแต่ละวัน โดยเราได้นำผักที่เป็นที่ยอมรับว่าอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินสูงเป็นอันดับต้นๆมาแปรรูปเป็นเครื่องดื่มเพื่อให้รับประทานง่าย สะดวกและอร่อย ได้แก่ และเครื่องดื่มผงผักเคล เคลจัดเป็น “ราชินีผักใบเขียว” (The Queen of Green) ซึ่งผักเคลมีประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ช่วยลดน้ำหนัก มีส่วนช่วยลดการอักเสบของข้อและกระดูก ทำให้กระดูกมีความหนาแน่นมากขึ้น ในปริมาณที่เท่ากับนม เคลจะมีแคลเซียมสูงกว่านม 4 เท่า ช่วยเพิ่มโคเลสเตอรอลชนิดดีและลดโคเลสเตอรอลชนิดไม่ดี เครื่องดื่มผงผักเคลยังมีใยอาหารจำนวนมาก ช่วยในการขับถ่ายอีกด้วย
“เครื่องดื่มผักตัวที่2 ซึ่งออกตลาดในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา คือ เครื่องดื่มผักบีทรูท บีทรูทจัดเป็นอาหารรักษาโรคตามธรรมชาติเนื่องจากอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินจำนวนมาก จัดเป็น Nitric booster ขยายหลอดเลือดฝอยทั่วร่างกาย ทำให้อวัยวะต่างๆได้รับอาหารและออกซิเจนมากขึ้น บีทรูทเพิ่มการไหลเวียนโลหิต ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆได้ดีขึ้นดังที่กล่าวมาแล้ว บีทรูทยังมีส่วนช่วยบำรุงสายตา ป้องกันความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ มีส่วนช่วยเพิ่มคุณภาพการนอนหลับให้ดีขึ้น นอกจากนั้นการมีใยอาหารจำนวนมากยังลดอาการท้องผูกได้เช่นเดียวกับเครื่องดื่มผงผักเคล"
"โดยปัจจุบัน ผู้บริโภครับประทานแต่อาหารกลุ่มแป้งและน้ำตาลเป็นหลัก เนื้อสัตว์ อาหารปิ้ง ย่าง ทอด อาหารกลุ่มไขมัน เราจะพบว่าอาหารแต่ละวันมีผักน้อยมาก อาจติดมากับกับข้าวต่างๆนิดหน่อย ทั้งๆที่เป็นที่ยอมรับว่าผักมีประโยชน์ต่อร่างกาย อาจเป็นเพราะไม่สะดวกในการเตรียม ไม่สะดวกในการรับประทานตลอดจนไม่อร่อย ไม่ชอบกลิ่นผัก เราจึงนำผักที่เป็นที่ยอมรับในคุณประโยชน์ คือบีทรูทและเคล มาแปรรูปเป็นเครื่องดื่มเพื่อให้สะดวกและทานง่าย ซึ่งจะทำให้คนทานผักมากขึ้นกว่าเดิม เครื่องดื่มผักทั้ง 2 ชนิดนี้แม้ว่าเพิ่งออกตลาดได้ไม่นานแต่กระแสตอบรับจากผู้บริโภคดีมาก" คุณจิรัชฌากล่าว
ปัจจุบันตลาดสมุนไพรโลกมีมูลค่าการบริโภคกว่า 54,957 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับประเทศไทยมีมูลค่าการบริโภคสมุนไพรอยู่ที่อันดับ 8 ของโลก คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,483.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ คิดเป็นมูลค่าราว 49,845.6 ล้านบาท มีอัตราการขยายตัวของตลาดร้อยละ 10.3
สำหรับผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้ 3 อันดับแรกคือ กลุ่มอาหารเสริมชนิดพร้อมดื่ม, กลุ่มเพื่อการรักษาอาการไอ หวัด แพ้อากาศ และกลุ่มอาหารเสริม ซึ่งแนวโน้มของสมุนไพรไทยในอนาคตมีโอกาสเติบโตสูง รวมทั้งมีการนำเข้าวัตถุดิบ สารสกัด และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากต่างประเทศประมาณ 12,606 ล้านบาทต่อปี และมีการนำสมุนไพรมาใช้ส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค ควบคู่กับการรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบันมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์โควิด-19 ฟ้าทะลายโจร และกระชายขาว เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก และต่อยอดไปยังสมุนไพรชนิดอื่นๆ เพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศ
ที่สำคัญ ในยุคนี้สมุนไพรไทยเป็นยาสามัญประจำบ้าน หรือใช้รักษาในหน่วยบริการปฐมภูมิ เพิ่มการเข้าถึงของประชาชนซึ่งจะทำให้ลดความแออัดในโรงพยาบาลได้อีกทางหนึ่งด้วย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์การสร้างมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่การผลิตของสมุนไพรไทย พบว่า ปัจจุบันมูลค่าของพืชสมุนไพรที่เกษตรกรขายได้หน้าฟาร์มจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1.2 พันล้านบาทต่อปี แต่หากถูกส่งต่อไปยังตลาดค้าส่งในลักษณะการซื้อขายแบบ B2B ในรูปแบบผลสด-ผลแห้ง-แบบบดผง เพื่อนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง มูลค่าตลาดจะขยับขึ้นเป็น 21.8 พันล้านบาท
หากพัฒนาไปสู่ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ เช่น ในกลุ่มอาหารและยา เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์สปา และสามารถเข้าสู่ตลาดผู้บริโภคได้ในลักษณะการซื้อขายแบบ B2C จะไต่ระดับมูลค่าตลาดไปได้สูงถึง 68.0 พันล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการยกระดับคุณภาพการผลิตสมุนไพร เพราะสามารถทำให้ผลตอบแทนที่จะได้รับจากสมุนไพรที่มีจุดเริ่มต้นเพียง 1.2 พันล้านบาท/ปี เพิ่มไปสู่ระดับ 91พันล้านบาท/ปี หรือคิดเป็นมูลค่าเพิ่มราว 73 เท่า
ส่วนแผนแม่บทว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรแห่งชาติฉบับที่ 1 ปี 2560-2564 ซึ่งตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเพิ่มมูลค่าการบริโภคผลิตภัณฑ์สมุนไพรให้ได้ 3.6 แสนล้านบาทภายในปี 2564 และผลักดันให้ไทยก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำการส่งออกผลิตภัณฑ์สมุนไพรอันดับ 1 ของอาเซียน โดยปัจจุบันสมุนไพรบางตัวขึ้นแท่น Product Champion อาทิ กระชายดำที่ถูกยกให้เป็นหนึ่งใน Product Champion พืชสมุนไพรไทยซึ่งเดิมทีจะสามารถปลูกได้เพียงในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น ในอนาคตอาจจะสามารถปลูกในพื้นที่อื่นๆ ได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี