“เจ้าชายผัก” ชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนชอบปลูกผัก และ ในแวดวงเกษตรกรรม โดยเจ้าของฉายา “เจ้าชายผัก” คือ นายปรินซ์ หรือ นายนคร ลิมปคุปตถาวร ซึ่งมีความชอบและความสามารถด้านการเกษตร จึงใช้พื้นที่เพียง 100 ตารางวาของบ้าน เป็นโชว์รูมผักสวนครัว, สมุนไพร และโรงเลี้ยงไก่ ซึ่งที่นี่มีความน่าอัศจรรย์ คือ “เจ้าชายผัก” เนรมิตพื้นที่เพียง 100 ตารางวา เป็นแหล่งบ่มเพาะทางปัญญาด้านการเกษตรให้กับคนในเมืองหลวง และพื้นที่นี้ก็นับว่าอยู่ใจกลางเมือง คือ ซอยสตรีวิทยา 2 ซอย 3 ลาดพร้าว 71 อยู่ตรงข้ามซอยนาคนิวาส 48
โดยเฉพาะในยามที่บ้านเมืองกำลังประสบกับโรคภัยไข้เจ็บอย่าง โควิด-19 นั้นทำให้ผู้คนเริ่มหันมาสนใจดูแลตัวเองมากขึ้น ทั้งการปลูกผักเกษตรอินทรีย์, การปลูกผักรอบรั้วบ้าน และ ตามคอนโดมิเนียม รวมไปถึงขยายวงกว้างจนถึงขั้นวางแผนทำเกษตรในระยะยาว ซึ่งทำให้ “เจ้าชายผัก” ต้องไปพบปะเกษตรในเครือข่ายทุกเดือน เช่น เกษตรกรในจังหวัดเพชรบูรณ์, สระบุรี และ จันทบุรี รวมทั้งรับหมวกเป็นวิทยากรบรรยายความรู้มากขึ้นในแต่ละช่วงสัปดาห์ เพื่อให้คนเมืองไปทำเกษตรได้ในรูปแบบประหยัด
ล่าสุด “หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร” (BACC Education Department) จัดกิจกรรม “ท่องอาณาจักรสีเขียวกลางป่าคอนกรีต” เมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา เพื่อมาเรียนรู้การทำเกษตรที่ศูนย์เรียนรู้เกษตรในเมือง ที่บ้านเจ้าชายผัก โดยมีคุณนคร หรือ “เจ้าชายผัก” ซึ่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ คอยบรรยายและสาธิตการปลูกผักแบบง่ายๆด้วยการเตรียมดินให้พร้อมตามวิธีธรรมชาติ โดยเน้นว่า “หัวใจ” ของการปลูกผัก คือ การเตรียมดินให้พร้อม
“จริงๆแล้วเกษตรกร ควรจะแปลตามชื่อของการเกษตร เกษตรแปลว่าดิน เพราะฉะนั้นเกษตรกรรมก็คือ การกระทำ การทำงานกับพื้นดิน ซึ่งคัลเจอร์ อะกรี (culture agri) ก็แปลว่า พื้นดิน ยิ่งชัดเลยภาษาอังกฤษ ก็คือ การบ่มเพาะพื้นดิน เพราะฉะนั้นเกษตรกร คือ ผู้ดูแลพื้นดิน ง่าย และ สะดวก ดินดีแล้ว เราจะปลูกผักได้ถึง 4 รอบ แล้วค่อยทำใหม่ ให้ดินเกิดฮิวมัส (humus) พอปลูกผักเสร็จแล้ว เราก็ปลูกถั่ว ถั่วจะชอบดินที่ร่วนแต่ไม่ต้องมีอาหารเยอะ เพราะว่าตัวถั่วเองสามารถถึงอาหารในธรรมชาติ มาอยู่กับเขาได้ เพราะเราถอนถั่วขึ้นมา ในปมรากจะมีแบคทีเรียในดิน และดึงเอาแร่ธาตุต่างๆโดยเฉพาะไนโตรเจนไปอยู่กับเขาได้” นายนคร เล่าให้ฟัง
นายนคร ยังเล่าถึงมุมมองการทำเกษตรในเมืองของไทยว่า วันหนึ่งอาจจะต้องทำในรูปแบบที่ประเทศในแถบยุโรปทำ คือ มีการแบ่งปันระบบที่ดินที่รกร้างว่าเปล่าในเมืองให้คนทำ เพื่อทำให้เกิดมิติเรื่องอาหารที่ไม่ขาดแคลน เพราะ “อาหาร” เป็นปัจจัยสำคัญ และ เป็นประเด็นที่ต้องใส่ใจในระยะยาว
“เกษตรคนเมือง เราส่งเสริมเรื่องนี้มา 10 กว่าปี เดี๋ยวนี้เป็นกระแสมากขึ้น สิ่งสำคัญผมคิดว่า การทำเกษตรเกิดอาหารในเมืองได้ ก็ต้องทำให้สัมพันธ์กัน ระหว่างสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และ สังคม ซึ่งเกษตรในเมือง ถ้าคนสนใจเพราะว่า ไม่อยากจ่ายค่าภาษีที่ดินแพงอย่างเดียว ก็อาจจะได้ต้นมะนาวที่ไม่มีคนดูแล ก็ไม่มีผลผลิตไปเลี้ยงคน แต่ถ้าเราดูแลแบบธรรมชาติ เราก็ได้อาหารที่ดีด้วย ในทางสังคมก็แบ่ง"
"โดยมีกติกาว่า อะไรทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง บางคนมีเยอะ เข้ามาปรึกษาผมว่า มีที่ดินเป็นร้อยๆไร่ ถ้าเขาทำเอง ผมว่าเขาลงทุนเยอะ แต่ถ้าเกิดเคลียร์ที่เคลียร์ทางให้ เหมือนต่างประเทศ ก็ทำข้อตกลงหน่อย ให้ผังเมือง กทม.หรือ เทศบาล เป็นเจ้าภาพ เช่น ถ้าคุณไม่ดูแลภายใน 6 เดือน เราให้คนอื่นทำต่อ เพราะทุกคนใช่ว่าจะมีที่ดิน ถ้าไม่มีที่ดิน ก็แบ่งปันกัน เรื่องแบบนี้เกิดในยุโรปมาเป็นร้อยปี เพราะคนในยุโรป ช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม ทุกคนที่เป็นแรงงานในเมืองต้องไปอยู่คอนโด อยู่อพาร์ทเม้นท์ ก็ไม่มีที่ดิน อาหารก็แพง ซึ่งอาหารแพง คนที่ไม่มีจะทำยังไง คนที่มีก็ต้องแบ่งปันให้คนที่ไม่มี” นายนครเล่าให้ฟังอย่างเป็นกันเอง
สำหรับใครที่อยู่คอนโดมิเนียมอาจต้องคิดหนักหน่อย หากต้องการปลูกผักเพื่อเป็นแหล่งอาหารที่จะประหยัดค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้นั้น คุณนครแนะนำว่า อาจจะต้องใช้วิธี “แบ่งปันที่ดิน”
“ส่วนที่ปลูกผักอยู่ที่คอนโดมิเนียม ผมว่าก็ไม่พอ เพราะอย่าง ต้นหอม เราตัดกินมื้อเดียวก็หมดแล้ว อันนี้ผมมองว่า เราก็ต้องแบ่งปันที่ดินกัน ถ้าถึงจุดนั้นได้ก็เป็นประโยชน์ เพราะในเมือง ในกทม. ที่ดินที่เป็นเกษตรกรรมก็ยังเหลืออยู่มาก ที่เป็นไร่ เป็นนา คือ อย่างน้อยแม้ว่าเจ้าของที่จะไม่ใช่เกษตรกรก็ตาม ก็เช่าอยู่ ก็ยังเป็นประโยชน์ในเวลาภัยพิบัติมา เราไม่รู้จะเอาน้ำท่วมไปไว้ที่ไหน อาจจะชดเชยชาวไร่ ชาวนา ได้ ต่อให้น้ำไม่ท่วม แต่อาหารไม่มี เราก็ยังต้องพึ่งพาตรงนั้นอยู่ เช่น ก๋วยเตี๋ยวที่เรากินอยู่ มาจากนาข้าวที่เรากินอยู่รอบกรุงเทพฯ ที่หนองจอก และ มีนบุรี"
"แต่เขาไม่ได้เป็นเจ้าของนาเอง ก็ไม่กล้าลงทุน ก็ปลูกข้าวที่เอามาทำเป็นแป้ง อย่างในญี่ปุ่น ที่ผมเคยไปดูมา เดี๋ยวนี้ชาวไร่ชาวนาตัวจริงก็เหลือน้อยมาก เหลือชาวไร่ชาวนาที่วันธรรมดาเป็นพนักงานบริษัท แล้ววันหยุดก็ไปทำไร่ทำนา แต่ว่าเขาได้รับการซัพพอร์ตจากรัฐบาล เพราะว่าที่ไร่ที่นา ถ้าไม่มีคนทำเลย ปล่อยให้รกร้าง วันหนึ่งก็จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น แล้วมันจะสัมพันธ์กับการมีความมั่นคงทางอาหารภายในประเทศ คนญี่ปุ่น 70% ซื้ออาหารเข้าประเทศ เขาต้องมีเงินเยอะๆ เพราะต้องไปซื้ออาหาร แต่สำหรับเรา คนที่คิดว่า อาหารไม่สำคัญ ไม่จริงเลย คนที่คิดว่า ซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น่าจะถูก น่าจะไม่ใช่แล้ว เพราะเวลาเขารบกันขึ้นมาที แป้งสาลีก็แพง เพราะฉะนั้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ไม่ใช่ของถูกอีกแล้ว ” เจ้าชายผักฉายมุมมองที่มีโอกาสทำให้เกิดแหล่งอาหารในเมืองด้วยวิธีที่มีต้นทุนไม่แพงมากนัก
คุณนคร หรือ เจ้าชายผัก มีดีกรีเคยเป็นนักวิจัยอยู่ที่มหาวิทยาธรรมศาสตร์ ในช่วงเรียนปริญญาโท ด้านการเกษตรยั่งยืน และ ทำงานด้านพัฒนาชนบท และ เป็นผู้ช่วยนักวิจัยอยู่ ที่”ธรรมะเกษตร” ซึ่งเป็นศูนย์เรียนรู้ปราชญ์ชาวบ้าน จังหวัดปราจีนบุรี
“เจ้าชายผัก” ทิ้งท้ายด้วยการยกมือให้ดูว่า มือเกษตรกรต้องเป็นมือแบบเขา พร้อมกับบอกว่า การอยู่กับเกษตรธรรมชาติ ทำให้เขากับภรรยาไม่ต้องทานยาแผนปัจจุบันมา 15 ปีแล้ว และจะไปโรงพยาบาลเฉพาะที่ต้องพึ่งพาเครื่องมือแพทย์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี