จากกรณี "หมอปลา" พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนายโสธร และสื่อมวลชนเข้าตรวจสอบ "หลวงปู่แสง ญาณวโร" พระเกจิชื่อดัง อายุ 98 พรรษา และป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ที่อาศัยอยู่ในที่พักสงฆ์ พื้นที่บ้านดงสว่าง ต.โคกนาโก อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร ซึ่งกรณีภายในคลิปฉาวปจะเห็นหลวงปู่ พร้อมลูกศิษย์ชาย 3 คน นั่งประกบ โดยญาติโยมผู้หญิงเข้ามากราบไหว้ โดยพระที่ถูกกล่าวหาพยายามลวนลามผู้เสียหาย ทั้งลูบศีรษะ โอบกอด และพยายามดึงเข้าไปหอมแก้ม ตอนท้ายสาวรายดังกล่าวได้สะบัดลุกขึ้นแบบไม่พอใจ
ล่าสุด มีกระแสดราม่าเกิดขึ้นบนโลกโซเชียล โดยการร่วมติดแฮชแท็ก #SAVEsหลวงปู่แสง
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : 108prageji.com
ทั้งนี้ "ทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์" ได้รวบรวมประวัติและปฏิปทาของ "หลวงปู่แสง ญาณวโร" พอให้เป็นโดยสังเขป ดังนี้
"หลวงปู่แสง" เดิมชื่อ "นายแสง ดีหอม" เกิดเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2467 อ. ฟ้าหยาด จ. อุบลราชธานี (17 เมษายน 2442 กระทรวงมหาดไทยเปลี่ยนชื่อ อ.ฟ้าหยาด เป็น อ.มหาชนะชัย และเมื่อ 1 มีนาคม 2515 อ.มหาชนะชัย ย้ายไปขึ้นกับ จ. ยโสธร จนถึงปัจจุบัน) อุปสมบทเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2490 ณ วัดศรีจันทร์ อ.เมือง จ. ขอนแก่น ท่านได้จำพรรษา วิเวกธุดงค์ทั้งในประเทศไทย ลาว และพม่า
"หลวงปู่แสง" เคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟังถึงเหตุการณ์ที่เปลี่ยนฉายาจาก "ญาณวโร" เป็น "จันดะโชโต" เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2557 ว่า สมัยที่เดินทางไปธุดงค์ที่ จ.อุดรธานี เพื่อที่จะไปปักกรดที่วัดร้างแห่งหนึ่ง ทางที่จะไปนั้น ต้องนั่งเรือข้ามห้วยชื่อว่า "ห้วยหลวง" ขณะที่กำลังนั่งเรืออยู่นั้น เรือได้เกิดพลิกคว่ำ ทำให้บาตรของหลวงปู่หล่นน้ำ ซึ่งในบาตรนั้น มีสูจิบัตรพระอยู่ด้วย ทำให้สูจิบัตรของหลวงปู่ ลอยหายไปกับกระแสน้ำ หลังจากนั้นหลวงปู่ก็ได้ไปทำสูจิบัตรพระใหม่ ซึ่งมาเห็นในภายหลังว่า เจ้าหน้าที่พิมพ์ฉายาให้ท่านผิดไปเป็นฉายา "ญาณวโร" โดยแท้จริงแล้ว หลวงปู่ได้ใช้ฉายา "จันดะโชโต" มาตั้งแต่ต้น จากวันนั้น จึงทำให้หลวงปู่ได้ใช้ฉายา "ญาณวโร" มานานหลายปี
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : 108prageji.com
จนกระทั่งปี พ.ศ.2557 หลวงปู่แสง ได้มอบหมายให้พระครูสุทธิพรหมคุณ (สุทธิพงศ์ ชนุตตโม) เจ้าอาวาสวัดป่าวังเลิง เจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม ให้ดำเนินการ ในการเปลี่ยนฉายาของหลวงปู่กลับมาเหมือนเดิม จาก "ญาณวโร" เป็น "จันดะโชโต" ซึ่งเป็นฉายาที่แท้จริงของหลวงปู่ ซึ่งมีความหมายว่า "ผู้ที่รุ่งเรือง"
"หลวงปู่แสง" จำพรรษา วิเวกธุดงค์ และไปมาหาสู่กับพระรูปต่าง ๆ มานับไม่ถ้วน โดยเริ่มศึกษาหลักธรรมกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่วัดป่าบ้านหนองผือ ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร (ช่วงบั้นปลายของท่านอาจารย์มั่นที่อยู่บ้านหนองผือ)
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : 108prageji.com
หลวงปู่คำดี ปภาโส วัดถ้ำผาปู่ จ. เลย (พ.ศ.2494-2496)
พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ได้ร่วมสร้างวัดถ้ำขาม (พ.ศ. 2497)
หลวงปู่เทศก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย (1 พรรษา)
หลวงปู่บัว สิริปุณโณ วัดราษฎร์สงเคราะห์ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี (20 พรรษา)
พระอาจารย์แบน ธนากโร ได้ร่วมสร้างกุฏิศาลาที่วัดธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์
หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี ได้ร่วมธุดงค์ที่ภูวัว
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ อ.วังสะพุง จ.เลย
หลวงปู่ศรี มหาวีโร ได้วิเวกธุดงค์ที่ภูเกล้า ภูเวียง จ.ขอนแก่น
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย – ได้วิเวกธุดงค์ด้วยกันที่วัดดอยหินหมากเป้ง
หลวงปู่จันทร์โสม กิตติกาโร วัดป่านาสีดา จ.อุดรธานี ได้วิเวกธุดงค์ด้วยกันที่ อ.ผือ อ.สามพราน และ อ.น้ำโสม
พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ, พระอาจารย์วัน อุตตะโม หลวงปู่หล้า เขมปัตโต และพระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร ได้วิเวกธุดงค์ร่วมกันที่ถ้ำสาลิกา ภูสิงห์ ภูทอง ภูพานคำ และ ภูทอก ฯลฯ
หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร วัดป่าวังเลิง จ.มหาสารคาม ได้จำพรรษาด้วยกัน (พ.ศ.2532 – 2533)
ตั้งแต่ พ.ศ. 2534 – 31 ธันวาคม 2551 จำพรรษา ที่วัดป่าอรัญญาวิเวก บ้านไก่คำ จ.อำนาจเจริญ
31 ธันวาคม 2551 – 11 ตุลาคม 2552 จำพรรษาที่วัดป่าอิสิปตนมฤคทายวัน (เสนาสนป่าโคกค่าย)
บ้านหนองไฮน้อย ต.หนองข่า อ.ปทุมราชวงศา จ.อำนาจเจริญ
11 ตุลาคม 2552 จำพรรษาที่วัดป่านาเกิ้งญาณวโร บ้านนาเกิ้ง อ.เสนางคนิคม จ.อำนาจเจริญ
21 พฤศจิกายน 2553 จำพรรษาที่ วัดป่ามโนรมย์สมประสงค์ (สำนักสงฆ์ภูทิดสา)
บ้านห้วยฆ้อง ตำบลหนองข่า อำเภอ ปทุมราชวงศา จัดหวัด อำนาจเจริญ
3 พฤศจิกายน 2556 สำนักสงฆ์บ้านเวินชัย อ.มหาชนะชัย จ.ยโสธร
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : 108prageji.com
ปัจจุบัน "หลวงปู่แสง" จำพรรษา ที่วัดป่าดงสว่างธรรม บ้านดงสว่าง ต.โคกนาโก อ. ป่าติ้ว จ.ยโสธร อายุ 98 ปี พรรษา 74 (พ.ศ.2563)
โอวาทธรรม "หลวงปู่แสง" ญาณวโร
“ได้เกิดมาอัตภาพนี้ บ่บ้าใบ้เสียจริตผิดมนุษย์ ให้ตั้งใจทำความดี ให้เป็นหน้าเป็นตาพ่อแม่ สมกับที่ร่างกายนี้พ่อแม่ให้มา ให้คนเขาได้ย่อง ว่าลูกพ่อนั่นแม่นี่”
“เห็นบ่ว่ามันทุกข์ส่ำได๋ เกิดมามันทุกข์ อย่าสุอยากพากันมาเกิดหลาย”
“พากันคิดบ่จะตายมื้อได๋ มัวหลงโลกอยู่เด้อ ให้รีบสร้างความดีเข้า จะได้เป็นที่พึ่งได้ จนที่สุดบ่ต้องมาเกิดอีก”
“เขาว่าให้เฮา เฮาบ่ไปรับเอา แนวบ่ดีมันกะตกอยู่นำผู้นั้น เฮากะฮู้อุเบกขาอยู่ วางเฉยบ่ยินดีนำเขาว่า รู้แล้วกะวาง บ่หลงไปนำคำคน ไผเฮ็ดแนวได๋กะได้แนวนั้น ความดีความชั่วโตเฮาทำเอง บ่มีไผมาให้ดีให้ชั่วเฮาได้ เฮาสิดีกะย่อนเฮาทำดี เฮาสิชั่วกะย่อนเฮาทำชั่ว บ่มีไผมาเฮ็ดดี เฮ็ดชั่ว ให้เฮาได้สรรเสริญ นินทามันเป็นธรรมประจำโลก อย่าไปหลงนำมัน คั่นไปหลงนำมัน มันกะเดือดร้อน ไปรับเอาฟืนเอาไฟมาเผาใจเจ้าของ เป็นเดือดเป็นร้อนขึ้นมา ฮู้จักอุเบกขา วางเฉย ใจมันกะร่มเย็น”
“ให้เอาชนะกิเลสตัวเอง อย่าไปเอาชนะกิเลสคนอื่น ชนะกิเลสในใจตนได้แล้ว ขี้นชื่อว่าชนะทุกสิ่งในโลกนี้ กิเลสอยู่ขอบฟ้ามหาสมุทรไหนก็ชนะทั้งหมด ถ้าเราชนะตัวเราแล้ว”
“มีแต่คนแตกกันซวดๆพากันมาเกิดมาตายหลายโพด คนทุกคนที่มานี่มีจิตมีใจกันเบิดทุกคนเด้อ ผู้หญิงก็มีใจ ผู้ชายก็มีใจ คนเฒ่าคนแก่ก็มีใจ พระเณรก็มีใจ อันได๋ ๆกะว่าลงอยู่ใจนี่เด้อ ดีชั่วกะอยู่ใจเด้อ สะอาดกะอยู่ใจนี่ สกปรกกะอยู่ใจนี่ ถ้าใจมันสกปรกกะให้ชำระซักฟอกมันออก ให้มันสะอาดขึ้นมา เอาธรรมะเป็นเครื่องชำระซักฟอก ให้มีศีล ให้มีสมาธิ ให้มันเกิดสติ ให้มีปัญญากำกับรักษาใจ ให้มีสติปัญญากำกับรักษาใจไปตลอด เฮ็ดขึ้นทำขึ้นภายในใจเจ้าของ ใจนี่พาเกิดพาตายมานนานแล้ว” .-008
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : 108prageji.com
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี