ยังคงต้องติดตามกันต่อไปกับกรณี “หมอปลา” จีรพันธ์ เพชรขาว หลังเดินหน้าตรวจสอบวงการสงฆ์ตลอดจนความเชื่อสำนักลัทธิต่างๆ มาหลายหน แต่ครั้งนี้ดูจะเจอ “กระแสตีกลับ” เสียแล้ว เมื่อไปตรวจสอบ วัดดป่าดงสว่างธรรม จ.ยโสธร หลังได้รับคลิปร้องเรียนว่า “หลวงปู่แสง” พระเกจิดัง อายุเกือบ 100 ปีนั้น ลวนลามสีกา เนื่องจากในเวลาต่อมา มีการยืนยันว่า หลวงปู่แสง ป่วยเป็นโรค “อัลไซเมอร์” ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของสมอง จนทำให้หมอปลาต้องออกมาขอโทษกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น หลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง
สำหรับโรคอัลไซเมอร์นั้น พญ.จิตรลดา สมาจาร อายุรแพทย์ด้านโรคสมองและระบบประสาท โรงพยาบาลสมิติเวช เขียนบทความ “ลืมง่าย จำยาก เสี่ยงอัลไซเมอร์” เผยแพร่บนเว็บไซต์ ของ รพ.สมิติเวช ระบุว่า โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer Disease) เป็นโรคที่มีการถดถอยของการทำงานหรือโครงสร้างของสมองมากกว่าวัย เกิดจากการที่โปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า เบต้า-อะไมลอยด์ (Beta-Amyloid) ซึ่งเป็นผลจากของเสียที่เกิดจากการสันดาปของเซลล์ มีการตกตะกอนและไปจับกับเซลล์สมอง เส้นใยที่เชื่อมต่อของสมอง รวมถึงเซลล์พี่เลี้ยงของสมอง ส่งผลให้เกิดความเสียหายและนำมาสู่การตายของเซลล์สมอง โดยทำให้สมองเสื่อมและฝ่อลง และเกิดการสูญเสียเนื้อสมองในที่สุด
โรคอัลไซเมอร์เป็นหนึ่งในกลุ่มของโรคสมองเสื่อม (Dementia) ที่พบได้บ่อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 60-80 ของกลุ่มผู้ที่เป็นโรคสมองเสื่อมทั้งหมด ปัจจุบันพบผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องมาจากการมีอายุยืนยาวขึ้นและปัจจัยด้านอื่นๆ ทั้งนี้ ในประเทศไทยยังไม่มีรายงานจำนวนผู้ป่วยที่แน่ชัด แต่จากข้อมูลของสมาคมโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s Association) ที่เก็บข้อมูลของชาวอเมริกัน
พบว่า มีผู้ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้นทุกปี และสูงถึง 14 ล้านคนในปี 2563 คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 5% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ส่วนสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อม ได้แก่ สมองเสื่อมจากภาวะสมองขาดเลือด (Vascular Dementia), Dementia with Lewy bodies, Frontotemporal lobar dementia, ภาวะสมองเสื่อมในโรค Parkinson (Parkinson’s disease dementia) และภาวะสมองเสื่อมที่เกิดจากหลายสาเหตุร่วมกัน
สำหรับสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์ แบ่งเป็น 1.ปัจจัยที่แปลงไมได้ ประกอบด้วย 1.1 อายุ ในบุคคลทั่วไป เมื่ออายุมากกว่า 65 ปีไปแล้ว ทุกๆ 5 ปี จะมีความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า 1.2 ปัจจัยทางพันธุกรรม โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติโรคความจำเสื่อมในครอบครัว 1.3 การกลายพันธ์ของยีน Apolipoprotein E (Apo E), Amyloid-beta Precursor Protein (APP), Presenilin 1 (PSEN1) และ Presenilin 2 (PSEN2) และ Down’s syndrome จะทำให้ปรากฎอาการของโรคอัลไซเมอร์เร็วกว่าคนปกติ และ 1.4 เพศ พบว่าเพศหญิงมีความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์มากกว่าเพศชายเล็กน้อย
2.ปัจจัยที่เกิดขึ้นภายหลัง ประกอบด้วย 2.1 โรคเบาหวาน พบว่ามีความเสี่ยงสูงกว่าร้อยละ 39 เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวาน 2.2 โรคความดันโลหิตสูง พบว่ามีความเสี่ยงสูงกว่าร้อยละ 61 2.3 โรคอ้วน พบว่ามีความเสี่ยงสูงกว่าร้อยละ 60 2.4 การสูบบุหรี่ พบว่ามีความเสี่ยงสูงกว่าร้อยละ 59 และ 2.5 การไม่ออกกำลังกาย พบว่ามีความเสี่ยงสูงกว่า 82%
3. ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมและทางกายภาพอื่นๆ ประกอบด้วย 3.1 ระดับการศึกษา พบว่า จะมีความเสี่ยงสูงกว่าร้อยละ 59 หากมีระดับการศึกษาต่ำ 3.2 ภาวะซึมเศร้า พบว่ามีความเสี่ยงสูงกว่าร้อยละ 90 3.3 ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง การขาดปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ทำให้ขาดการทำงานของสมองในหลายๆ ด้าน และยังเป็นความเสี่ยงของการเกิดโรคซึมเศร้าอีกด้วย
3.4 การนอนหลับ การนอนหลับที่ไม่เพียงพอหรือไม่มีคุณภาพ เช่น มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA) โรคของการเคลื่อนไหวผิดปกติช่วงนอน (Restless Leg Syndrome) โรคเหล่านี้มีผลต่อการซ่อมแซมเซลล์สมองในช่วงระหว่างการนอนหลับลึก และการรวบรวมความจำในช่วงระหว่างการนอนหลับตื้น และ 3.5 การมีประวัติอุบัติเหตุทางสมอง ที่ทำให้เซลล์สมองได้รับความเสียหาย
อาการของโรคอัลไซเมอร์ ประกอบด้วย 1.สูญเสียความจำหรือข้อมูลระยะสั้น มีการหลงลืมที่รบกวนชีวิตประจำวัน ลืมของไว้ในที่ที่ไม่ควรเก็บ เช่น วางของทิ้งไว้แล้วลืม วางกุญแจรถไว้ในตู้เย็น นึกชื่อคนที่รู้จักไม่ออก ถ้าหากตัวโรคเป็นมากขึ้น ก็อาจทำให้สูญเสียความทรงจำในอดีตได้ 2.มีความสับสนในวัน เวลา สถานที่ 3.มีความสับสนในทิศทาง เช่น ลืมเส้นทางที่เคยใช้เป็นประจำ
4.มีปัญหาในการสื่อสาร เช่น คิดคำพูดไม่ออก เข้าใจหรือสื่อสารข้อความยาวๆ ไม่ได้ 5.มีการตัดสินใจที่แย่ลง ช้าลง 6.มีการคิดวิเคราะห์ การแก้ไขปัญหาที่ทำได้ยากขึ้น หรือทำได้แย่ลง 7.ขาดสมาธิในการจดจ่อกับสิ่งที่ทำ 8.มีปัญหาในการทำงาน ทำงานให้สำเร็จได้ยากกว่าปกติ 9.มีอารมณ์เปลี่ยนแปลง เช่น ฉุนเฉียว หงุดหงิดง่าย ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ซึมเศร้า และ 10.มีการแยกตัวจากสังคม งาน หรือกิจกรรมที่เคยทำหรือชื่นชอบ
อย่างไรก็ตาม ต้องย้ำว่า “คนที่มีพฤติกรรมหลงลืมบ่อยๆ อาจไม่ได้เป็นโรคอัลไซเมอร์เสมอไป” โดยเกิดขึ้นจากอีก 2 สาเหตุ ดังนี้ 1.มีอาการขี้ลืมจากการไม่ได้จดจำ ไม่ได้เก็บข้อมูลเข้าไปในความจำ เช่น ยุ่งมากมีเรื่องหลายเรื่องที่ต้องทำ ลักษณะนี้ไม่ถือว่าเป็นโรคความจำเสื่อม 2.มีอาการขี้ลืมที่เกิดจากความจำถดถอย ความสามารถในการจดจำลดลง ถือว่าเป็นโรคความจำเสื่อม ซึ่งมักมีอาการอื่นในเรื่องของความจำร่วมด้วย
รศ.นพ.สุขเจริญ ตั้งวงษ์ไชย ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขียนบทความ “โรคอัลไซเมอร์ภัยเงียบของผู้สูงวัย” เผยแพร่บนเว็บไซต์ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย อธิบายอาการของโรคอัลไซเมอร์ ว่ามี 3 ระยะ คือ 1.ก่อนเข้าสู่ภาวะสมองเสื่อม มีอาการเริ่มต้นที่เรียกว่า ภาวะการรู้คิดบกพร่องเล็กน้อย มักหลงลืมหรือมีปัญหาเรื่องความจำที่เห็นชัดเจน แต่ยังไม่ส่งผลกระทบต่อการทำกิจวัตรประจำวัน
2.เมื่อเข้าสู่ภาวะสมองเสื่อม มีอาการเสื่อมถอยของการรับรู้มากขึ้น อาจมีอาการทางจิต และปัญหาพฤติกรรมด้วย มีความบกพร่องในการทำกิจวัตรประจำวัน จนทำให้ต้องพึ่งพิงผู้ดูแล และ 3.ระยะอาการรุนแรง มีอาการทางระบบประสาทร่วมด้วย เช่น กลั้นปัสสาวะและอุจจาระไม่ได้ มีปัญหาการก้าวเดิน การกลืน และนอนติดเตียง จำเป็นต้อง มีผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด ในระยะนี้ผู้ป่วยอาจจะเสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อน
บทความ “โรคอัลไซเมอร์ Alzheimer” เผยแพร่บนเว็บไซต์ รพ.จุฬาภรณ์ ระบุว่า ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานการรักษาโรคให้หายขาด จึงมุ่งเน้นการดูแลรักษาเพื่อช่วยลดความพกพร่องทางการรู้คิด และสนับสนุนให้ผู้ป่วยสามารถประกอบกิจวัตรประจำวันและเข้าสังคมได้มากที่สุด โดยแบ่งเป็น 1.การรักษาโดยไม่ใช้ยา (Non-Pharmacological Management) การรักษาด้วยวิธีนี้มีอยู่หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับภาวะความรุนแรงของโรคและขีดความสามารถในการเรียนรู้ของผู้ป่วยแต่ละราย โดยมุ่งเน้นให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสมตามระยะของโรค ดังนี้
1.1 การดูแลเรื่องกิจวัตรประจำวันและการฝึกทักษะการเข้าสังคม ให้ผู้ป่วยได้ร่วมดูแลเรื่องกิจวัตรประจำวันของตนเองโดยมีผู้ดูแลคอยสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือตามขีดความสามารถของผู้ป่วย สนับสนุนให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมที่มีส่วนร่วมในสังคมครอบครัวและสังคมภายนอกตามความเหมาะสม 1.2 การดูแลปรับสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม ลดสิ่งกระตุ้นที่ทำให้อาการแย่ลง เช่น เสียงรบกวน รวมถึงการปรับสภาพที่อยู่อาศัยให้ปลอดภัยง่ายต่อการใช้งาน เช่น ให้พื้นเรียบ ไม่มีของเกะกะทางเดินและแสงสว่างเพียงพอ เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ
1.3 การให้ความรู้กับผู้ดูแลผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยจะเข้าสู่สภาวะที่ต้องพึ่งพา ผู้ดูแลเป็นบุคคลสำคัญที่สุดที่ต้องเข้าใจการดำเนินของโรค และความรู้เกี่ยวการดูแลผู้ป่วยในแต่ละระยะของโรค รวมไปถึงสนับสนุนการดูแลตนเองของผู้ดูแลผู้ป่วย 1.4 การฟื้นฟูผู้ป่วยสมองเสื่อมด้านกายภาพ เนื่องจากผู้ป่วยที่มีอาการสมองเสื่อมอาจมีขีดความสามารถในการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ลดลง การปรับอุปกรณ์ให้ง่ายต่อการใช้งานหรือปรับกิจกรรมให้เรียบง่ายและปลอดภัย รวมไปถึงการฝึกการกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสโดยการบีบ จัด นวด การกระตุ้นกิจกรรมการเคลื่อนไหวจะทำให้ผู้ป่วยได้ฝึกสมรรถภาพทางกายภาพได้ดียิ่งขึ้น
และ 1.5 การดูแลด้านพฤติกรรมและจิตบำบัด ปัญหาเรื่องพฤติกรรมและอารมณ์เป็นความผิดปกติที่พบได้บ่อย อาจต้องใช้การรักษาควบคู่ทั้งการรักษาด้วยยาและพฤติกรรมและจิตบำบัด อาจใช้การให้ความรู้แก่ผู้ดูแลเพื่อให้เข้าใจผู้ป่วยและมีวิธีการดูแลได้อย่างเหมาะสม เช่น การเบี่ยงเบนความสนในผู้ป่วยออกจากเรื่องที่กำลังหงุดหงิดหรือโมโห การเสริมสร้างด้านอารมณ์ด้วยดนตรีบำบัด เป็นต้น
กับ 2.การรักษาด้วยยา (Pharmacological Management) ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานว่ามียาที่สามารถรักษาโรคให้หายขาดได้ แต่อาจมียาบางกลุ่มที่สามารถใช้รักษาบรรเทาอาการ และการรักษาประคับประคอง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก 2.1 ยาที่ใช้รักษาตามอาการด้านการรู้คิด ได้แก่ยากลุ่มที่ยับยั้งสารที่ทำลายสารสื่อประสาทในสมอง (acetylcholine esterase inhibitor) ทำให้มีสารสื่อประสาทเพิ่มขึ้น เช่น ยา donepezil, galantamine, rivastigmine เป็นต้น สามารถใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยถึงรุนแรง นอกจากนี้ยังมียากลุ่ม NMDA receptor antagonist เช่น memantine ทำให้ glutamate ไม่สามารถจับกับ receptor ได้ทำให้ลดการเกิดพิษต่อเซลล์ประสาท ใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรง
2.2 ยาที่ใช้รักษาปัญหาพฤติกรรม อารมณ์ และความผิดปกติทางจิต ปัญหาพฤติกรรม อารมณ์ และความผิดปกติทางจิตเกิดได้บ่อยในผู้ป่วยสมองเสื่อม ซึ่งอาจต้องใช้ยาตามอาการทางจิตร่วมรักษา เช่น ยาต้านเศร้า ยาลดอาการหลงผิดประสาทหลอนและอาการกระวนกระวาย ยาคลายกังวลหรือยานอนหลับ โดยแพทย์อาจจะปรับยาตามอาการเพื่อให้สมดุลโดยพิจารณาถึงประโยชน์และผลข้างเคียงของการใช้ยา อย่างไรก็ตามการดูแลรักษาผู้ป่วยกลุ่มโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์จำเป็นต้องดูแลอย่างเป็นองค์รวมประกอบด้วยการดูแลรักษาในด้านกายภาพ ด้านจิตใจและพฤติกรรม ด้านการเข้าสังคม รวมไปถึงการให้ความรู้และสนับสนุนญาติผู้ดูแลผู้ป่วยเพื่อให้ผู้ป่วยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี
และเมื่อยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด “การป้องกัน” ลดปัจจัยเสี่ยงก่อโรคอัลไซเมอร์ จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด ประกอบด้วย
1.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว และโคเลสเตอรอลสูง 2.รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้เกินมาตรฐาน 3.ไม่สูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีควันบุหรี่ 4.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 5.ระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุต่อสมอง การพลัดตกหกล้ม และ 6.ดูแลสุขภาพร่างกายให้ดี ตรวจสุขภาพประจำปี ตรวจติดตามโรคประจำตัวที่เป็นอยู่เป็นระยะ ๆ หากมีอาการเจ็บป่วยควรไปพบแพทย์แต่เนิ่นๆ
นอกจากนี้ การฝึกฝนสมอง เช่น คิดเลข อ่านหนังสือ เล่นเกมส์ ฝึกการใช้อุปกรณ์ใหม่ๆ การพบปะพูดคุยกับผู้อื่นบ่อย ๆ การมีความสัมพันธ์ทางสังคม เช่น ไปวัด ไปงานเลี้ยง เข้าชมรมผู้สูงอายุ ฯลฯ นอกจากนี้อาจช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้ยังช่วยให้ผู้สูงวัยคุณภาพชีวิตที่มีและมีความสุขอีกด้วย!!!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- 'หมอปลา-น้ำฟ้า'น้อมรับกรรม กราบขอโทษ รับผิดพลาดเรื่องป่วย'หลวงปู่แสง'
- หลานสายตรง'หลวงปู่แสง'งัดใบแพทย์ยันอาพาธสมองฝ่อจากอัลไซเมอร์
- เคลียร์ปม‘หลวงปู่แสง’!แพทย์ผู้รักษาออกโรงคอนเฟิร์ม‘หลงลืม’จริงหรือไม่
- 'หลวงปู่ชื่อดัง' จับ'หน้าอก-อวัยวะเพศ'สีกา อวดอ้างดื่มปัสสาวะรักษาโรค (คลิป)
อ้างอิง
- ลืมง่าย จำยาก เสี่ยงอัลไซเมอร์ : พญ.จิตรลดา สมาจาร
- โรคอัลไซเมอร์ภัยเงียบของผู้สูงวัย : รศ.นพ.สุขเจริญ ตั้งวงษ์ไชย
- โรคอัลไซเมอร์ Alzheimer : รพ.จุฬาภรณ์
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี