ปธ.คณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคล ชี้สื่อทำหน้าที่ตามจริยธรรมได้รับยกเว้น แต่โยนองค์กรวิชาชีพชี้ใครเข้านิยามสื่อบ้าง
4 มิ.ย. 2565 สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เปิดวงพูดคุยในรายการ “รู้ทันสื่อ” ทางคลื่นข่าว MCOT News FM 100.5 ในหัวข้อ “ทำข่าวอย่างไรภายใต้ PDPA’ โดย นายเธียรชัย ณ นคร ประธานกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กล่าวว่า พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือกฎหมาย PDPA เกิดขึ้นมาเพื่อคุ้มครองสิทธิความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคล โดยเฉพาะการเป็นลูกค้าขององค์กรธุรกิจ เพื่อไม่ให้องค์กรเหล่านั้นนำข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าไปใช้อย่างไม่เหมาะสม
เช่น การทำการตลาดแบบตรง ซึ่งจะเห็นว่าหลายคนได้รับข้อความสั้น (SMS) อีเมลล์ หรือโทรศัพท์ ซึ่งเป็นการรบกวนสิทธิความเป็นอยู่ส่วนตัว ส่วนข้อกังวลเรื่องการถ่ายภาพและมีบุคคลอื่นติดมาด้วย หากนำไปโพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์จะมีความผิดหรือไม่นั้น จริงๆ เรื่องนี้ไม่ได้ผิดอะไรหากไม่มีเจตนาไปรบกวนสิทธิความเป็นอยู่ส่วนตัว อย่างมากหากบุคคลในภาพไม่สบายใจ เห็นว่าภาพที่ถ่ายติดมาตนเองทำหน้าตาประหลาดๆ ก็อาจจะขอมาให้คนโพสต์ช่วยลบ ก็ลบให้แล้วก็จบ
ขณะที่ประเด็นการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน กฎหมายไม่ได้เขียนระบุไว้อย่างละเอียด แต่ในการประกอบอาชีพสื่อมวลชนโดยปกติจะมีมาตรฐานจริยธรรมอยู่แล้ว ดังนั้นหากเกิดกรณีขึ้นก็จะมีคำถามว่าได้ทำไปตามมาตรฐานจริยธรรมหรือไม่ เรื่องนี้สามารถหยิบยกขึ้นเพื่อคุ้มครองได้ ส่วนคำถามเกี่ยวกับนิยามของสื่อมวลชนตามกฎหมายนี้ที่ว่าจะนับเฉพาะสื่อที่มีสังกัดองค์กรหรือไม่ เรื่องนี้ยังเป็นเพียงความเห็นที่พูดกันอยู่ เพราะกฎหมายไม่ได้เขียนไว้ แต่โดยความเห็นส่วนตัวแล้ว ใครจะถูกนับเป็นสื่อมวลชนบ้าง เป็นหน้าที่องค์กรสื่อเองที่จะต้องไปทำให้ชัด
“เราจะไปพูดแทนองค์กรสื่อก็คงลำบาก เพราะหลายๆ ครั้งมันก็มีการพูดรวมไป อย่างเช่น ยูทูบเบอร์ หรือคนที่ทำข่าวเล็กๆ น้อยๆ ก็ถือเป็นสื่อมวลชนเหมือนกัน แต่ว่าตรงสื่อมวลชนเองมันต้องมีความชัดเจนว่าต้องมีการรวมตัวกันเป็นสมาชิกของกลุ่ม สมมตินะ แล้วในกลุ่มนั้นก็มีมาตรฐานจริยธรรมของตัวเอง ซึ่งสามารถคอยมอนิเตอร์การทำงานของสมาชิกของกลุ่มได้ อะไรทำนองนั้น อาจไม่จำแป็นต้องไปถึงขนาดต้องมีใบอนุญาตถึงขนาดนั้น” นายเธียรชัย กล่าว
นายเธียรชัย กล่าวต่อไปว่า สำหรับกลุ่มบุคคลที่รวมตัวกันแล้วอ้างว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนั้นเรื่องนี้โดยไม่ได้แจ้งแหล่งข่าวหรือสถานที่ปลายทางล่วงหน้า หากจะทำต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะหากการกระทำนั้นไม่เข้าข่ายตามมาตรฐานจริยธรรมสื่อมวลชน ก็อาจสุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายได้ ทั้งนี้ การจำกัดคำนิยามสื่อมวลชนปัจจุบันมีความเห็นแตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม ในหลักคิดเบื้องต้นคงต้องเน้นไปที่องค์กรสื่อที่มีมาตรฐานจริยธรรมกำกับดูแลสมาชิกของตนเองก่อน ซึ่งลักษณะนี้จะสามารถตีความเข้าข่ายข้อยกเว้นได้ง่าย แต่หากไม่ได้เป็นสมาชิกองค์กรสื่อ และไม่มีมาตรฐานจริยธรรมที่ชัดเจน จะมาอ้างเพื่อขอได้รับการยกเว้นตามกฎหมายในฐานะสื่อมวลชนก็ต้องพิสูจน์ซึ่งก็ค่อนข้างลำบาก ทั้งนี้ มีกรณีคล้ายกันคือเมื่อสื่อมวลชนทำหน้าที่แล้วถูกฟ้องหมิ่นประมาท ก็ยังอ้างมาตรฐานจริยธรรมองค์กรวิชาชีพที่ตนเองเป็นสมาชิกอยู่ได้ รวมถึงชี้แจงว่าที่ทำไปเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะอย่างไร
ส่วนคำถามว่า กฎหมาย PDPA เป็นอุปสรรคต่อการทำหน้าที่ของนักข่าวภาคพลเมือง ที่ใครไปเห็นเหตุการณ์อะไรไม่ชอบมาพากลแล้วนำมาแชร์ผ่านช่องทางของตนเองหรือไม่นั้น โดยหลักการไม่ได้ปิดกั้น และหากเป็นนักข่าวพลเมืองที่คอยส่งข่าวข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่มายังสำนักข่าว แบบนี้ก็ตีความว่าเป็นสื่อได้ไม่ยาก ทั้งนี้ยอมรับว่าด้วยกระบวนการบ้านเราฟ้องกันง่าย ก็จะส่งผลกระทบต่อผู้ถูกฟ้อง แต่หากพิสูจน์ได้ว่าทำหน้าที่สื่อและทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ ส่วนใหญ่ศาลก็จะยกฟ้อง
“ในการทำงานของสื่อเอง สื่อได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ขณะเดียวกันเองการทำงานของสื่อในแง่การหาข้อมูลข้อเท็จจริงมาเผยแพร่ตีแผ่ต่อประชาชน มันเป็นหน้าที่โดยปกติของสื่ออยู่แล้ว แต่เราอาจจะเคยเจอเวลามาตีแผ่ข้อเท็จจริง อาจจะโดนฟ้องบ้างอะไรบ้าง หมิ่นประมาทตามกฎหมายอาญาบ้างก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่โดยพื้นฐานกฎหมายเขายกเว้นไม่นับรวมเรื่องของสื่อ เพราะหลายๆ กรณี สื่ออาจต้องไปเก็บรวบรวมข้อมูลบุคคล ฉะนั้นข้อยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ มันก็มีส่วนช่วยให้สื่อทำงานได้คล่องขึ้น” นายเธียรชัย ระบุ
นายเธียรชัย กล่าวอีกว่า หากมีปัญหาให้ต้องตีความ จะมีอยู่ 2 ส่วน ส่วนแรกคือกรรมการใหญ่ที่จะตีความข้อกฎหมาย แต่หากมีข้อโต้เถียงกันก็จะมีคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญทำหน้าที่ชี้ขาด ส่วนเรื่องบทกำหนดโทษจะมีอยู่ 2-3 เรื่อง คือ 1.ค่าเสียหายทางแพ่ง กรณีเกิดข้อโต้แย้งระหว่างเจ้าของข้อมูลกับผู้ใช้ข้อมูลที่ใช้ไปในทางไม่ถูกต้องแล้วตกลงกันไม่ได้ และกรรมการผู้เชี่ยวชาญก็ไม่สามารถไกล่เกลี่ยได้
ลักษณะนี้เจ้าของข้อมูลอาจไปฟ้องที่ศาลแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายฐานละเมิด จากนั้นศาลก็จะพิจารณา และแม้กฎหมายจะระบุค่าสินไหมทดแทนไว้ 2 เท่า แต่ในการพิจารณาคดีจริงศาลอาจไม่สั่งถึงขนาดนั้น เพราะต้องดูเรื่องฐานานุรูปและอื่นๆ ประกอบด้วย 2.โทษทางอาญา หากไปดูจะพบว่าไม่ต่างจากความผิดฐานหมิ่นประมาทในประมวลกฎหมายอาญา ส่วนการมีผู้นำข้อมูลไปแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ เรื่องนี้แม้เป็นความผิดแต่กฎหมายก็เขียนว่าเป็นความผิดอันยอมความได้
อนึ่ง ในกรณีที่เป็นนิติบุคคล ผู้บริหารองค์กรต้องพิสูจน์เช่นกันว่าตนเองไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วย หากถูกกล่าวหาว่ามีส่วนต้องรับผิดชอบ และ 3.โทษทางปกครอง ซึ่งหลายคนกังวลเพราะอัตราสูงมาก คือปรับตั้งแต่ 5 แสน-3 ล้านบาท แต่ในความเป็นจริง กติกาที่คณะกรรมการจะออกมาบังคับใช้ หากปฏิบัติตามก็จะเป็นหลังพิงของคนทำงาน เพราะหากมีปัญหาเกิดขึ้นก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าทำตามมาตรฐานที่คณะกรรมการกำหนดแล้ว โอกาสถูกลงโทษก็จะมีน้อย ยกเว้นคนที่ตั้งใจฝ่าฝืนจริงๆ เท่านั้น
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีหลายประเทศที่มีกฎหมาย PDPA โดยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) นอกจากไทยแล้วยังมีสิงคโปร์กับฟิลิปปินส์ ขณะที่ในสหภาพยุโรป (EU) ทุกประเทศก็มีกฎหมาย PDPA ของตนเองแล้ว นอกจากฎหมายกลางระดับสหภาพ ส่วนสหรัฐอเมริกา มีความพยายามเขียนกฎหมายนี้โดยอิงกฎหมายของ EU และบางมลรัฐ เช่น แคลิฟอร์เนีย ก็มีกฎหมายออกมาบังคับใช้แล้ว
ซึ่งทิศทางที่ดำเนินไปในปัจจุบัน คือความต้องการให้ธุรกิจประกอบการอย่างโปร่งใส ไม่นำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ในทางที่ไม่สมควรจนรบกวนสิทธิผู้อื่นเกินสมควร และในอนาคตอาจกลายเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดบรรษัทภิบาล (Corporate Governance) หรือการกำกับดูแลกิจการ เพราะในท้ายที่สุด การให้ความดูแลข้อมูลส่วนบุคคลและไม่ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลไปในทางที่ผิด มันจะเป็นทิศทางที่ยอมรับระดับสากล เพราะหลายประเทศก็มีผลสำรวจพบว่า หากบริษัทใดไม่เอาใจใส่ดูแลข้อมูลส่วนบุคคลให้ดี ลูกค้าก็อาจเปลี่ยนใจไปทำธุรกิจกับบริษัทอื่นที่เอาใจใส่ดีกว่าได้
ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่ใกล้ตัวคือประชาชนถูกนำหมายเลขโทรศัพท์ไปใช้ประโยชน์ เช่น มีการโทรมาสอบถามเรื่องสุขภาพ แล้วมารู้ทีหลังว่าถูกนำข้อมูลที่สอบถามไปโฆษณาขายสินค้า หรือการทำธุรกรรมต่างๆ ที่ผู้ให้บริการกำหนดให้ผู้ต้องการใช้บริการเลือกยินยอมเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล นายเธียรชัย ระบุว่า เรื่องเหล่านี้ต้องดูกันเป็นรายกรณีไป ว่าการนำหมายเลขโทรศัพท์ไปใช้นั้นเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งเวลานี้ยังยกตัวอย่างไม่ได้ชัดเจน โดยกำลังรวบรวมเรื่องร้องเรียนในรอบ 2 ปี แล้วในเดือน ก.ค. 2565 จะตั้งคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญขึ้นมาจัดการเรื่องเหล่านี้
ส่วนเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ต้องแยกเป็น 2 ส่วน คือคอลเซ็นเตอร์เถื่อนกับคอลเซ็นเตอร์ที่มาจากบริษัทที่ทำธุรกรรมด้วย ซึ่งบางทีผู้ใช้บริการเผลอให้ความยินยอมว่าให้นำข้อมูลไปแชร์กับบริษัทในเครือหรือที่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ฉะนั้นหากโทรมาถ้าไม่มีที่มาที่ไปเลยก็อาจจะบอกว่านั่นคือคอลเซ็นเตอร์เถื่อน ตรงนี้ก็ต้องปราบปราม ซึ่งสามารถแจ้งได้ที่สายด่วน คกก.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อประสานสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สืบหาต้นตอของหมายเลขโทรศัพท์นั้น
“ถ้าเราไล่สืบเสาะสืบสวนไปถึงจุดนั้น ซึ่งต้องทำร่วมมือกันหลายฝ่ายรวมทั้งตำรวจด้วย พอพบตัวแล้วก็จะได้คาดคั้นได้ว่าคุณเอาเบอร์พวกนี้มาจากไหน ซื้อมาจากใคร ฉะนั้นบริษัทหรือองค์กรธุรกิจอะไรที่ขายข้อมูล พวกนี้ก็จะอยู่ในข่ายที่จะต้องรับผิดตามกฎหมาย” ประธานกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ ในระหว่างการสัมภาษณ์ ผู้ดำเนินรายการได้ยกตัวอย่างบุคคลที่สถานะคลุมเครือว่าจะเข้าข่ายเป็นสื่อมวลชนที่จะได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย PDPA หรือไม่ อาทิ อดีตผู้สื่อข่าวออกจากงานที่มีต้นสังกัดแล้วไปทำเว็บไซต์หรือเปิดเพจเฟซบุ๊กเอง แต่ไม่ได้มีจำนวนทีมงานและไม่ได้ทำชิ้นงานข่าวมากพอจนเข้าเกณฑ์สมัครเป็นสมาชิกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ได้ เป็นต้น
-001
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี