กว่า 2 ปีที่ทั้งโลกเผชิญฝันร้ายจากวิกฤตไวรัสโควิด-19 ผู้คนเจ็บป่วยล้มตาย ตกงานปิดกิจการสิ้นเนื้อประดาตัว แต่วันนี้สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย หลายประเทศทยอยกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ และไทยก็กำลังเดินไปยังจุดนั้นเช่นกัน อีกไม่นานโควิด-19 ก็จะลดสถานะจากโรคระบาดร้ายแรงเหลือเพียงโรคประจำถิ่น อย่างไรก็ตาม “ในบางแง่มุมของวิกฤตยังมองเห็นความหวัง” นั่นคือการถอดบทเรียนเพื่อหาแนวทาง “รู้รับปรับตัว” ดังตัวอย่างของ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) พิมาน ที่นำบทเรียนจากเหตุการณ์น้ำท่วมมาต่อยอดเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์โรคระบาด
“คนที่มาจากกรุงเทพฯ ต้องกักตัวก่อนนะ ต้องไปนอนที่โน่นนะ ก็พอดีมีคนมาบริจาคเยอะ ก็เลยพอทุเลากันไปบ้างแต่ทีนี้คนมันจะเยอะก็มาจัดสถานที่ตรงนี้ จะเอาคนมาพักอยู่ที่โรงเรียน เป็นศูนย์พักคอย แล้วก็ที่โรงเรียนผู้สูงอายุ แต่ก็ยังไม่ได้ใช้ เตรียมไว้ ปรับปรุงสถานที่ ตัดหญ้า ทำอะไรเรียบร้อย พ่นยากันยุง คือทางอำเภอเขาพอรับได้ เราก็เตรียมไว้เหมือนกัน”
นิกร พ่อเพียโคตร ประธานคณะกรรมการหมู่บ้านพิมาน หมู่ 3 ต.พิมาน อ.นาแก จ.นครพนม บอกเล่ากับทีมงาน “นสพ.แนวหน้า” ย้อนความในช่วงที่สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ยังรุนแรง ส่งผลกระทบอย่างหนักไปทั่วทั้งประเทศ ซึ่งในเวลานั้น พื้นที่เมืองใหญ่โดยเฉพาะกรุงเทพฯ อันเป็นแหล่งงานของคนวัยหนุ่ม-สาว ถูกล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาด ส่งผลให้คนเหล่านี้ต้องกลับสู่ภูมิลำเนาในชนบทเพราะสถานที่ทำงานถูกปิด แต่เมื่อกลับไปแล้ว ญาติพี่น้องที่บ้านก็ยังไม่กล้าเปิดบ้านต้อนรับเพราะกลัวนำพาโรคมาด้วย
อย่างไรก็ตาม สำหรับที่ตำบลพิมาน ที่นี่มีความร่วมมือกันของคนในชุมชน บวกกับการเตรียมความพร้อมเป็นอย่างดีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาทิ มีการเตรียมสถานที่กักตัวสำหรับผู้เดินทางกลับมาจากต่างพื้นที่หรือกรณีครัวเรือนใดที่จำเป็นต้องกักตัวกันทั้งบ้าน ก็จะมีการซื้อเสบียงอาหารไปวางไว้ที่บริเวณหน้าบ้าน ซึ่งเสบียงอาหารนี้ก็ไม่ได้ใช้งบประมาณของรัฐหรือกองทุนฉุกเฉินเพื่อรับมือภัยพิบัติของชุมชน แต่เป็นชาวบ้านที่ช่วยกันเอง
การรับมือนี้ไม่ได้อยู่ดีๆ จะมาเกิดขึ้นในยุคโควิด-19 ระบาด แต่มีจุดเริ่มต้นมาจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อปี 2560 โดย นิกร เล่าว่า ในช่วงแรกๆ ที่เริ่มมีการแจ้งเตือนจาก กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) มี 2 หมู่บ้านจากทั้งหมด 11 หมู่บ้าน ใน ต.พิมาน ที่อยู่กับน้ำท่วมทุกปีจนชิน ยังมองคนหมู่บ้านอื่นๆ ที่เหลือว่าตื่นตระหนกเกินเหตุ แต่แล้วเมื่อระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดก็ต้องนำไปสู่การอพยพเคลื่อนย้ายทั้งคน สัตว์และสิ่งของออกมากันอย่างทุลักทุเล
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อเริ่มตั้งหลักได้ ต.พิมาน เริ่มระดมชาวบ้านจิตอาสามาตั้งครัวทำอาหารแจกจ่ายผู้ได้รับผลกระทบขณะเดียวกัน เมื่อเหตุการณ์น้ำท่วมที่นี่ถูกเผยแพร่เป็นข่าวโดยสื่อมวลชน ธารน้ำใจทั้งเงินและสิ่งของอุปโภค-บริโภค หลั่งไหลมาอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย จึงนำมาสู่การตั้งกองทุนฉุกเฉินเพื่อรับมือภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม พายุ ไฟไหม้ ฯลฯ โดยมีเงินบริจาคที่เหลือเป็นทุนตั้งต้น นำไปซื้อสิ่งของจำเป็น ซึ่งจะคล่องตัวกว่าการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐตามระบบ
การเดินทางไป ต.พิมาน อ.นาแก จ.นครพนม ในครั้งนี้ เป็นการติดตามคณะทำงานของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เยี่ยมพื้นที่ ซึ่ง บัญชา ศรีชาหลวง นายก อบต. พิมาน เผยปัจจัยแห่งความสำเร็จในการบริหารจัดการพื้นที่ 1.มีข้อมูล เช่น ช่วงที่เกิดน้ำท่วม ต้องรู้เส้นทางการไหลและความเร็วของกระแสน้ำ หรือในช่วงสถานการณ์โควิด-19 อบต. ที่ดูแลพื้นที่ 11 หมู่บ้าน ต้องรู้ว่าแต่ละหมู่บ้านมีครัวเรือนซึ่งจะมีสมาชิกในครอบครัวเดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยง (อาทิ กรุงเทพฯ) กี่ครัวเรือนและกี่คน
การมีข้อมูลอย่างเพียงพอ ทำให้การวางแผนรับมือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การจัดเตรียมสถานที่กักตัวในพื้นที่ (Local Quarantine : LQ) โดยจุดหลักจะอยู่ที่บ้านพักในพื้นที่อนุสรณ์สถานแห่งความสงบ รู้รักสามัคคีภูพานน้อย ซึ่งมีบ้านพักอยู่ 11 หลัง และมีบ้านพักที่เรียกว่าบ้านพอเพียง ในพื้นที่ของ อบต. อีก 2 หลัง ซึ่งทั้งหมดนี้หากเป็นช่วงเวลาปกติจะถูกใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมหรืองานประเพณีต่างๆ ของชุมชน รวมถึงมีการเตรียมสถานที่กักตัวในชุมชน (Community Isolation : CI) เช่น โรงเรียน แต่ยังไม่ถึงขั้นต้องใช้พื้นที่ส่วนนี้
2.สื่อสารให้ชัดเจน ในระยะแรกของสถานการณ์โรคระบาดผู้คนนั้นตื่นกลัว แต่ทุกอย่างคลี่คลายลงได้ด้วยการสร้างความเข้าใจ จากการทำงานของทีมงาน อบต., ผู้นำท้องที่ (กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน), เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) ลงพื้นที่พูดคุยให้ความรู้ที่ถูกต้องกับชาวบ้าน เช่น ช่องทางที่โรคสามารถติดต่อได้และการป้องกัน โดยเฉพาะในช่วงหลังๆ ที่มีการอนุญาตให้ผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเขียว (ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย) กักตัวที่บ้าน (Home Isolation : HI)
3.ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ อบต.พิมาน มีความร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำระบบเฝ้าระวังสุขภาพหนึ่งเดียว (PODD) มาใช้ เป็นแอปพลิเคชั่นสำหรับแจ้งเหตุภัยพิบัติ รวมถึงโรคระบาดทั้งในคนและสัตว์ โดยผู้รับผิดชอบแต่ละฝ่ายจะต้องติดตั้งแอปฯ นี้เพื่อให้ได้รับทราบข้อมูลพร้อมกัน มีการถ่ายรูป ระบุพิกัดตำแหน่งของภาพ และคำบรรยายการแจ้งเหตุ เพื่อคำนวณขอบเขตพื้นที่ที่ต้องควบคุมสถานการณ์ไว้ ซึ่งในอนาคตจะปรับปรุงระบบให้ใช้แจ้งเมื่อพบสาธารณูปโภคชำรุดด้วย
“อย่างการระบาดของไข้เลือดออก คนที่อยู่ในระบบ เช่น นายอำเภอ สาธารณสุขอำเภอ รพ.สต. นายก อบต. หรือผู้นำท้องที่-ท้องถิ่น ติดตั้งแล้วสมมุติเจอไข้เลือดออกบ้านหลังนี้ ก็ไปถ่ายรูป จับพิกัด มันจะรู้รัศมีการควบคุม แล้วก็รายงานสถานการณ์บ้านนี้ติดก็ควบคุมฉีดพ่นระยะเท่าไร แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือคนที่อยู่ในแอปฯ อย่างเช่นผมที่ถือว่าเป็นบอร์ด (Board-กรรมการบริหาร) ของตำบล ก็จะรู้แล้ว
เจออันนี้ผมจะได้สั่งต่อว่าอุปกรณ์เรานะ เครื่องพ่นอะไรต่างๆ คือสั่งการได้ทันทีแบบ Real Time (ตามเวลาจริง)คือลูกน้องเขาเห็นแล้ว พอเราเห็น เราแจ้งไป แล้วเรารายงานผู้เกี่ยวข้อง มันควบคุมได้ด้วยตัวเราไหม ถ้ามันใหญ่ไป นายเขาเห็น คือคนจะรู้ด้วยกันพร้อมกัน เราก็มาจัดการในพื้นที่เร็ว ตอนนั้นมีช่วงพีคของการระบาดของไข้เลือดออก ทางสาธารณสุขมันจะมีช่วงที่ Lag (หยุดชะงัก)อยู่ 2-3 ปี แล้วมันก็จะมีพีคอีก” นายก บัญชา กล่าว
และ 4.มีกระบวนการสร้างความใกล้ชิดกัน ผ่านการหารือในหลายเวที ตลอดจนกิจกรรมต่างๆ จนคนในชุมชนเห็นความสำคัญของการดูแลกันและกัน โดยเฉพาะงาน “ลานบ้านลานเมือง” ชวนมารับประทานอาหารร่วมกัน ซึ่งในงานก็จะมีการพูดคุยกันเป็นวิชาการบ้าง นอกจากคนในชุมชนแล้วยังมีตัวแทนหน่วยงานภาครัฐเข้าร่วม ให้ความรู้ในเรื่องที่เกี่ยวกับวิถีชุมชน เช่น เกษตร ปศุสัตว์
นายก อบต.พิมาน เล่าอีกว่า ในอดีตแต่ละชุมชนจะมีลักษณะต่างคนต่างอยู่ โดยเฉพาะหากเป็นชุมชนที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม อีกทั้งแต่ละชุมชนยังคิดถึงแต่การปกป้องผลประโยชน์เฉพาะชุมชนตนเอง ซึ่งต้องสร้างความเข้าใจกันใหม่ว่า “เราอยู่ในพื้นที่เดียวกันต้องถือเป็นครอบครัวเดียวกัน” เพราะอย่างไรทุกคนก็ต้องได้มีปฏิสัมพันธ์ ได้เดินทางไปมาหาสู่กัน จึงต้องเอาพื้นที่
ตำบลเป็นตัวตั้งแล้วช่วยกันดูว่าจุดใดมีปัญหาแล้วแก้ไขให้ได้มากที่สุด
“จุดเด่นที่นี่คือ 1.ผู้นำมีความเข้มแข็ง 2.ประชาชนให้ความร่วมมือ 3.เกิดกระบวนการพัฒนาจิตอาสาของแต่ละคนในการดูแลซึ่งกันและกัน คือเราจะพยายามพูดตลอดว่า ชุมชนสังคมเราจะต้องดูแลซึ่งกันและกัน มีความเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน ภายใต้สโลแกนว่าเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เป็นตัวกระตุ้นให้ชุมชนได้มีการที่จะเตรียมปรับตัวรับมือสถานการณ์” นายก บัญชา กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี