เนื้อหาในเว็บไซต์ไทยซิตี้ฟาร์มดอทคอม (https://thaicityfarm.com) ที่นำเนื้อหาในปาฐกถา เรื่อง "เกษตรในเมือง ความสำคัญ ความท้าทาย สู่เป้าหมายเมืองยั่งยืน" ในงานสัมมนาวิชาการเกษตรในเมืองครั้งที่ 1 โดย ผศ.ดร.ปิยะพงษ์ บุษบงก์ มาให้ผู้อ่านยุคดิจิตอลได้มองเห็นอนาคตและวางแผนตัวเองถูกว่าจะต้องดำเนินชีวิตอย่างไรท่ามกลางปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบ
โดยเว็บไซต์นี้เขียนไว้อย่างน่าสนใจว่า เราจึงต้องมี "แหล่งอาหาร" ของเมืองและต้องมีพื้นที่เกษตรในเมือง (urban agriculture) ที่ประเทศไทยไม่ควรถูกมองข้ามอีกต่อไป เพราะเกษตรในเมืองขยายตัวอย่างรวดเร็วทั้งในเชิงแนวคิดและแนวปฏิบัติไปทั่วโลก ทั้งเมืองขนาดเล็กหรือขนาดกลางหรือขนาดใหญ่ก็ต่างหันมาให้ความสำคัญทั้งสิ้น เพื่อการปรับตัวของเมืองและคนเมืองต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและเพื่อประโยชน์อื่นๆ โดยไปโยงอยู่กับการเกิดขึ้นของกลุ่มเคลื่อนไหวทั่วทุกมุมโลกในเรื่องระบบอาหารใกล้บ้าน ระบบอาหารทางเลือก ความมั่นคงทางอาหารในระดับท้องถิ่น การลดการเดินทางของอาหาร ห่วงโซ่อาหารที่เป็นธรรม ความเกื้อกูลและรับผิดชอบต่อกันระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค และแนวคิดอื่นๆ อีกหลายอย่าง ซึ่งเกี่ยวโยงและเชื่อมร้อยกันทั้งสิ้น
รวมไปถึงเว็บไซต์ไทยซิตี้ฟาร์มยังนำเนื้อหาบทความ "สังเขปบทเรียนเกษตรในเมืองในต่างประเทศ: ตอนที่ 1 – ฮาวาน่า (คิวบา)" โดย ผศ.ดร.ปิยะพงษ์ บุษบงก์ มาเรียบเรียงใหม่ ซึ่งจับประเด็นการใช้ที่ดินของฮาวาน่า ดังนี้
ประเด็นเรื่องการใช้ที่ดินนี่น่าสนใจมาก ตั้งแต่เรื่องการวางแผนการใช้ที่ดินที่สำคัญมากๆ คือ การกำหนดเขตการใช้ที่ดินประเภทต่างๆ ในเมืองฮาวาน่า ซึ่งเขาเข้มงวดมากไปจนถึงเทคนิคการใช้ที่ดินที่ไม่เหมาะสมในการทำเกษตรให้สามารถทำเกษตรได้ โดยเขามีการสนับสนุนการวิจัย โดยเฉพาะการพัฒนาด้านเทคโนโลยีเพื่อนำไปใช้ได้จริงเป็นจำนวนมาก มีโครงการอบรมแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีต่างๆ
เอาเป็นว่าที่ดินทุกประเภท ฮาวาน่าเอามาสร้างอาหารได้หมด ทั้งนี้ หากจะถามว่าของที่ฮาวาน่าใช้เคมีหรือไม่ คำตอบคือ ไม่มากจากที่เคมีไม่ถูกอนุญาตให้นำมาขายในตลาดที่ถูกกฎหมาย ยกเว้นสำหรับพืชบางชนิด เช่น หอม กระเทียม เป็นต้น และฮาวาน่าสามารถทำให้ราคาสินค้าอินทรีย์ถูกกว่าเคมีได้ด้วย สิ่งที่เราน่าจะเรียนรู้จากฮาวาน่าได้มากคือ
1.รัฐบาลและท้องถิ่นของฮาวาน่าสนับสนุนเต็มที่ ในผังเมืองของฮาวาน่าเน้นแปลงผักเป็นพื้นที่สีเขียว มากกว่าจะเน้นเรื่องการปลูกไม้ที่กินไม่ได้
2.ฮาวาน่าทำให้การซื้อหาสารเคมีเพื่อการเกษตรเป็นเรื่องยากและไม่ถูกกฎหมาย รวมถึงอาหารอินทรีย์กลายเป็นอาหารที่ถูก
3.สำนักงาน ส่วนราชการของฮาวาน่าเป็นตัวอย่างกันพร้อมหน้า
4.ฮาวาน่าเด่นมากในการเอาของเสียในเมืองมาใช้ในการทำเกษตร คือมีการเชื่อมโยงการจัดการของเสียเข้ากับเรื่อง “เกษตรกรรมในเมือง”
เมื่อนำความรู้โดยเฉพาะสิ่งที่ “ฮาวาน่า” ใช้กับคนเมืองหลวงในการแก้ปัญหาวิกฤตอาหารในเมือง เพื่อให้คนเมืองเข้าถึงอาหารที่มีการปลูกด้วยวิธีเกษตรอินทรีย์และปลอดสารพิษ ก็จะพบว่า ถ้าเป็นกรุงเทพมหานคร ชาวเมืองหลวงยังต้องบริโภคอาหารเกษตรอินทรีย์ในราคาที่แพงกว่าอาหารที่มาจากพืชผักที่ใช้สารเคมี ทำให้คนเมืองหลวงไม่มีทางเลือก เพราะด้วยค่าครองชีพที่ได้ผลกระทบจากเงินเฟ้อเพิ่มเข้ามาอีกปัจจัยหนึ่ง ยิ่งทำให้ต้องซื้อพืชผักที่มาจากสารเคมีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันคนไทยยังต้องบริโภคพืชผักที่ปลูกด้วยสารเคมีสูงและส่งผลให้ป่วยเป็นโรคมะเร็งตามมา เพราะการเข้าถึงพืชผักเกษตรอินทรีย์นั้นยังอยู่ในสัดส่วนที่ไม่มากนักและการปลูกผักเกษตรอินทรีย์เพื่อทานเองในเมืองหลวงนั้น ก็ยังต้องอาศัยองค์ประกอบที่คล้ายคลึงกับ “ฮาวาน่า” คือเรื่องของพื้นที่ของที่ดิน ซึ่งจำเป็นจะต้องใช้นั้น โอกาสคนเมืองหลวงจะมีพื้นที่ทำกินก็เป็นเรื่องที่ยากอีกปัจจัยหนึ่ง และการปลูกผักบนคอนโดมิเนียม รวมทั้งในพื้นที่ทาวน์เฮ้าส์ ก็จะทำได้เพียงแก้ขัด หรือ เปิดโอกาสเข้าสู่เส้นทางเกษตรอินทรีย์เท่านั้น
แต่หากต้องการทำเพื่อเป็นอาชีพ หรือเพื่อให้คนเมืองหลวงเข้าถึงพืชผักเกษตรอินทรีย์อย่างแท้จริง จะต้องขับเคลื่อนทั้งองคาพยพในหน่วยงานราชการ และเอกชนระดมสรรพกำลังเข้ามา รวมไปถึงการทำให้กฎหมายต่างๆ ให้ประโยชน์แก่ผู้ไม่มีโอกาส ได้มีโอกาสในพื้นที่ทำกินในเมืองหลวงได้อย่างถูกกฎหมายและเป็นธรรมมากขึ้น
อย่างเช่น ถ้าใครครอบครองสิทธิ์ในพื้นที่แผ่นดินในกรุงเทพมหานครมากจนเกินไป ต้องเกิดกระบวนการทางกฎหมายเกลี่ยพื้นที่ไปสู่มือคนที่ไม่มีที่ดิน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมเรื่องการอยู่อาศัย ซึ่งไม่ได้หมายถึงให้เช่าหรือให้มาทดลองทำเกษตรอินทรีย์ฟรี แต่ต้องเกิดกฎหมายที่บังคับว่าตระกูลหนึ่งตระกูลจะมีสิทธิ์ถือดครองที่ดินและทรัพย์สินด้านอสังหาริมทรัพย์ได้ไม่เกิดกี่ตารางวาหรือกี่ไร่
กฎหมายเหล่านี้หากเกิดขึ้นจริงจึงจะเอื้อต่อการนำไปสู่การทำเกษตรในเมือง และนำแผ่นดินของไทยกลับคืนสู่อ้อมอกแผ่นดินของประเทศชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริง เพราะปัจจุบันการไม่มีกฎหมายควบคุมการถือครองที่ดินและอสังหาริมทรัยพ์ ทำให้เกิดการเบียดเบียนกันสูงมาก เกิดกรณี "ปลาใหญ่กินปลาเล็ก" เกิดความไม่เท่าเทียมทางสังคมในด้านของการมีปัจจัยสี่ ซึ่งปัจจัยสี่ควรจะมีอย่างเท่าเทียมกัน เพราะเป็นพื้นฐานการดำรงชีวิต
ปัจจุบันพอไม่มีกฎหมายควบคุมการถือครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในเรื่องของจำนวนการครอบครองต่อหนึ่งตระกูล ทำให้เกิด "นอมินี" ขึ้นจำนวนมากและไปไม่ถึง
เรื่องการทำเกษตรในเมือง ทำได้แค่เพียงกระแส เกิดขึ้นชั่ววูบชั่ววาบเท่านั้น รวมไปถึงยังน่าเสียดายที่บรรพบุรุษของไทย อันได้แก่ บูรพมหากษัตริย์ไทยได้เสียสละชีพกู้ชาติกู้แผ่นดินมา นับตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช, สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชและบูรพมหากษัตริย์ไทยแห่งราชวงศ์จักรีเพื่อให้ประชาชนคนไทยได้มีแผ่นดินอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข แต่เมื่อถึงปัจจุบันผู้ที่ถือครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในจำนวนที่มากเกินความจำเป็นได้เข้าเบียดเบียนผู้คนอย่างมากด้วยการฮั้วกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนส่วนหนึ่ง
แม้ว่าจะมีเรื่องภาษีถือครองที่ดิน แต่ก็ไม่สามารถควบคุมอำนาจความโลภของคนที่ถือครองที่ดินจำนวนมากได้จึงทำให้การทำเกษตรในเมือง และการเข้าถึงอาหารเกษตรอินทรีย์ของคนเมืองหลวง ยังเป็นเพียงแค่กระแส ไม่ได้เข้าถึงคนเมืองหลวงอย่างจริงจังและยั่งยืน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี