"...คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่สมัยใหม่ แต่เราอยู่พอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทย พออยู่พอกิน มีความสงบ และทำงานตั้งจิตอธิษฐานตั้งปณิธาน ในทางนี้ที่จะให้เมืองไทยอยู่แบบพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด แต่ว่ามีความพออยู่พอกิน มีความสงบ เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้ เราก็จะยอดยิ่งยวดได้... (4 ธันวาคม 2517)"
หนึ่งในพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรที่ตรัสไว้แก่พสกนิกรชาวไทย เมื่อ 48 ปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นถึงพระราชวิเทโศบายทางด้านเกษตรกรรมที่เป็นต้นน้ำของวัฎจักรชีวิตคนไทยทั้งประเทศ
เพราะฉะนั้นจะเห็นว่า ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจัยภายนอกที่เข้ามา กระทบ อาทิ การระบาดของโรคโควิด-19, ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน, ปัญหาเงินเฟ้อ และ ฯ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลอย่างหนักทางด้านอาหารจนเกิดภาวะอดอยาก หรือขาดแคลน และในทางตรงกันข้าม ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ผลิตแหล่งอาหารป้อนประเทศต่างๆในโลกได้ในช่วงภาวะวิกฤต นอกจากนี้ปัญหาวิกฤตต่างๆ ที่ทยอยกันเข้ามากลับเป็น "โอกาส" ซึ่งพบว่าคนในเมือง (URBAN) หันมาสนใจด้านเกษตรกรรมกันมากขึ้น เพียงแต่ยังไม่ขยับขึ้นมาเห็นเด่นชัดจนสามารถพากันพัฒนา "แอพพลิเคชั่น" ด้านเกษตรกรรมให้เห็นกันจำนวนมากได้ในพริบตา
ส่วนในต่างประเทศจะพบว่ามีการทำเกษตรกรรมในเมืองหลวง และพัฒนาแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ ออกมา เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีคนเมือง และ เทรนด์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงขึ้นเรื่อยๆ โดยฝ่ายเกษตร ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา(Thailand Office of Agricultural Affairs, Los Angeles) ได้เผยแพร่บทความซึ่งมีเนื้อหาที่น่าสนใจ ดังนี้
องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agricultural Organization of the United Nations: FAO) ได้นิยามการเกษตรในเมือง หรือ Urban Agriculture ไว้ว่าเป็นการทำการเกษตร ขนาดเล็กและขนาด กลางภายในเขตเมืองหรือชุมชน เช่น การเพาะปลูกพืชผัก ผลไม้ รวมถึงการ เลี้ยงสัตว์และปลา เพื่อใช้ประกอบอาหารโดยวัตถุประสงค์หลักของการทำการเกษตรในเมือง คือ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยภายในชุมชน มีอาหารที่เพียงพอต่อ การบริโภค ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนตามหลักโภชนาการ สามารถเพิ่มรายได้จากผลผลิตทางการเกษตร และสามารถใช้เป็นที่จัดกิจกรรมสันทนา การสำหรับผู้คนภายในชุมชนได้อีก
รวมทั้งยังกล่าวถึง "แอโรฟาร์ม" (AeroFarms)ว่า เป็นบริษัทขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใน เมืองนวร์ก มลรัฐนิวเจอร์ซี ประสบผลสำเร็จจากการปลูกพืชแนวตั้งระบบปิดที่ควบคุม สภาพแวดล้อม และด้วยการนำเทคโนโลยี "Aeroponics" หรือการปลูกพืชแบบไร้ดินมาใช้ ทำให้บริษัทสามารถปลูกพืชได้โดยไม่ใช้ดินและแสงแดด แต่ใช้สารละลายแร่ธาตุและแสงสว่าง จากหลอดไฟแทน ซึ่งบริษัท AeroFarms เผยว่า สามารถเพิ่มผลผลิตจากการปลูกพืชแบบแนวตั้ง ได้มากถึง 400 เท่า และลดปริมาณการใช้น้ำ ได้มากถึงร้อยละ 95 เมื่อเทียบกับการปลูกพืชบนดินทั่วไป
"แนวหน้า ออนไลน์" ทำการสำรวจข้อมูลพบว่า แอโรฟาร์มจับด้านการทำเกษตรแนวตั้ง เมื่อ พ.ศ.2547 หรือ ค.ศ.2004 และวางตำแหน่งตัวเองเป็น "สตาร์ทอัพ" โดยมีเดวิด โรเซนเบิร์ก (David Rosenberg) เป็นโค-ฟาวเดอร์ แอนด์ ซีอีโอ (Co-Founder & CEO)และใช้กลยุทธ์การตลาดคือ การออกแบรนด์ "ดรีม กรีนส์" (Dream Greens) รุกตลาดโดยเน้นปลูกและขายผักที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค เช่น เบบี้ วอเตอร์เครส และ ผักสลัดอื่นๆ พร้อมกับมีข่าวช่วงเดือนมีนาคม ปี 2564 ว่า แอโรฟาร์มกำลังอยู่ในขั้นเตรียมเข้าตลาดหุ้นแนสแด็ก ภายใต้วิธีควบโอนกิจการ หรือการควบรวมกิจการ (Merger) กับบริษัทสปริง วัลเลย์ แอคควิซิชั่น คอร์ป (Spring Valley Acquisition Corp) หรือ “SPAC” โดยแอโรฟาร์มจะใช้ชื่อย่อว่า “ARFM” และเว็บไซต์ Investment U ได้เขียนวิเคราะห์ไว้เมื่อ 27 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า มีหุ้นเกษตรดาวรุ่งในตลาดหุ้น 3 ตัวได้แก่ AppHarvest (Nasdaq: APPH), Scotts Miracle-Gro (NYSE: SMG), CubicFarm Systems (OTC: CUBXF) และ AeroFarms เป็นอันดับ 4 ที่กำลังจะเข้าตลาดแนสแด็ก
เช่นเดียวกับออสเตรเลียมีสตาร์ทอัพที่มาแรงคือ “FoodCube” ที่เน้นขายเทคโนโลยีการปลูกผักแนวตั้งสำหรับคนเมือง และครบวงจรไปถึงระบบการจัดส่งผักที่สะอาด มีคุณภาพ ด้วยเทคนิคการใช้ฟิล์มสารอาหาร (NFT) ซึ่งเป็นการปลูกพืชโดยการรักษาชั้นบาง ๆ ของสารละลายธาตุอาหารรอบรากโดยไม่ต้องใช้สารตั้งต้นและการใช้ซอฟท์แวร์ที่เรียกว่า “CUBE” ติดตั้งระบบแท่งปลูกผักเพื่อให้ได้ผลผลิตตามต้องการ
ส่วนในประเทศไทยนั้นมีสตาร์ทอัพที่เป็นเพียงศูนย์รวมการขายสินค้าเกษตร คือ แอพพลิเคชั่นของเฟรชเก็ต (FreshKet) และ เพิ่งประกาศลงทุน 800 ล้านเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีเบทาโกร โฮลดิ้ง และ ออร์ซอน เวนเจอร์ส ในเครือโออาร์เข้าร่วมลงทุนด้วย
เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าในต่างประเทศการทำเกษตรกรรมในเมืองหลวง ที่เรียกว่า Urban Argriculture นั้นต้องใช้เวลากว่าจะพัฒนามาสู่สตาร์ทอัพ และอย่าง “แอโรฟาร์ม” ใช้เวลาถึง 18 ปี ในการเข้าสู่ตลาดหุ้น รวมไปถึงการระดมทุนในรูปแบบต่างๆ
ส่วนที่ประเทศญี่ปุ่นนั้นถือว่าเป็นชนชาติที่ทำอะไรแล้วจะต้องทำจริง และ ทำเกษตรในเมืองแบบพอเพียงเฉกเช่นพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรฯ รวมไปถึงวิธีทำในแบบ "ปลาใหญ่แบ่งปันไปสู่สังคม" ทั้งในระดับนโยบายภาครัฐ และเอกชน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. หม่อมหลวงวุฒิพงษ์ ทวีวงศ์ ภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เขียนไว้ในหัวข้อ เกษตรกรรมในเมือง : รูปแบบและประสบการณ์จากโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ที่น่าสนใจดังนี้
"ปัจจุบันแนวคิดการทำเกษตรกรรมภายในพื้นที่เมืองได้รับความสนใจและมีการปฏิบัติกันอย่างจริงจังและกว้างขวาง ในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองใหญ่ที่ส าคัญในระดับโลก (World City) เช่น นิวยอร์ค ลอนดอน ปารีส โตเกียว ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีกลุ่มคนชาวเมืองนั้นๆ ออกมาทำกิจกรรมปลูกผัก เลี้ยงสัตว์บนพื้นที่ว่างขนาดไม่ใหญ่นัก หรือ ตามพื้นที่ว่างที่หาได้ในเมือง เช่น พื้นที่ว่างข้างบ้าน ที่ดินรกร้าง หรือบนดาดฟ้าอาคาร เกิดเป็นกระแสสังคมที่เห็นว่าการทำเกษตรกรรมในเมืองเป็นกิจกรรมที่อินเทรนด์ ทันสมัย แต่อย่างไรก็ดี เชื่อว่าคนเมืองจำนวนไม่น้อยที่ทำเกษตรกรรมในเมือง ตามๆ กันไปนั้นอาจไม่ได้รู้มากนักว่าเกษตรกรรมในเมืองนั้นมีความสำคัญในหลายมิติ มากกว่าที่แต่ละคนที่เข้ามาทำกิจกรรม เหล่านี้จะคาดคิด"
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. หม่อมหลวงวุฒิพงษ์เขียนถึงญี่ปุ่นโดยยกตัวอย่าง "อะกริส เซโจ" (Agris Seijo) ว่า เป็นโครงการอยู่ในเขตเซตากาย่า (Setagaya) ของกรุงโตเกียว ตั้งอยู่บริเวณตรงข้ามสถานีรถไฟเซโจกาคุเอนมาเอะ (Seijo Gakuenmae) แต่เดิมพื้นที่นี้เป็นทางรถไฟสายโอดาคิว (Odakyu) ภายหลังได้มีการปรับทางรถไฟในช่วงนี้ให้เป็นทาง ลอดใต้ดินเพื่อลดเสียงรบกวนต่อชุมชนข้างเคียง ดังนั้นส่วนด้านบนโครงสร้างหลังคาของทางลอดรถไฟจึงเป็นที่ว่างที่สามารถ พัฒนาเป็นพื้นที่สีเขียวได้ แต่ด้วยข้อจำกัดของพื้นที่ที่ต้องไม่มีน้ำหนักมากและต้องไม่เป็นที่สาธารณะที่อาจรบกวนชุมชน ข้างเคียงได้จึงเกิดเป็นพื้นที่เกษตรกรรมในเมืองเพื่อตอบสนองความต้องการของคนเมืองที่ต้องการทำเกษตรกรรม
รวมถึงการยกตัวอย่าง "อาคารสำนักงานใหญ่บริษัทประกันภัยมิตซุยซูมิโตโม่" (Mitsui Sumitomo Insurance) เป็นตัวอย่างหนึ่งของการใช้ประโยชน์ของที่ว่างบนดาดฟ้าอาคารมาทำเป็นพื้นที่เกษตรกรรมในเมือง ทั้งนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของพนักงานบริษัท ที่ปรารถนาทำกิจกรรมทางการเกษตรที่ได้รับความนิยมสำหรับคนเมืองหนุ่มสาวของประเทศญี่ปุ่น พื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วย สวนผักบนดาดฟ้าโดยมีการแบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วนๆ เพื่อให้พนักงานหรือบุคคลภายนอกมาเช่าพื้นที่ มีพื้นที่ส่วนกลางที่มี ภาชนะรองรับเศษพืชผักที่เกิดจากการตัดแต่งและดูแลสวนผักเพื่อใช้หมักเป็นปุ๋ย
สำหรับ "ประเทศไทย" การทำเกษตรในเมืองก็ต้องเป็นไปตามเอกลักษณ์ของตนเองที่ไม่สามารถจะไปลอกเลียนแบบประเทศอื่นๆได้ร้อยเปอร์เซนต์ ทำได้คือนำสิ่งที่ดีของเกษตรในเมืองแต่ละประเทศมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกกาธิเบศรฯ (รัชกาลที่ 9) ที่ให้ "คนไทยรักษาความพออยู่พอกิน เพื่อนำไปสู่ความยอดยิ่งยวด" รวมไปถึงการศึกษาข้อมูลและการลงมือทำอย่างจริงจัง เพื่อนำมาต่อยอดตามแนวทางพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 10
(ขอบคุณ : ข้อมูลอ้างอิงและภาพประกอบ
https://www.chaipat.or.th/about-the-chai-pattana-foundation/about-us.html
https://tokyogreenspace.wordpress.com/tag/agris-seijo/
https://www.greenqueen.com.hk/
https://www.greenqueen.com.hk/vertical-farming-firm-aerofarms-lands-spac-merger-to-go-public-become-unicorn/
https://www.foodcube.co/
https://www.aerofarms.com/
https://www.moac.go.th › foreignagri-news-files-43/
https://www.aerofarms.com/, http://www.eto.ku.ac.th/neweto/e-book/other/เกษตรกรรมในเมือง_วุฒิพงษ์-ทวีวงศ์.pdf)
:https://investmentu.com/vertical-farming-stocks/
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี