“53 วัน” เป็นตัวเลขนับถอยหลังจากวันนี้ (14 ก.ค. 2565) ไปจนถึงวันที่ 5 ก.ย. 2565 ซึ่ง พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ.2565 ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษามาตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2565 โดยสาระสำคัญคือ “กำหนดให้เด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องจัดให้นั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก หรือนั่งในที่นั่งพิเศษสำหรับเด็กเพื่อป้องกันอันตราย หรือมีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ” หรือ “คาร์ซีท(Car Seat)” จะมีผลบังคับใช้
หากจำกันได้ ในช่วงเดือนแรกที่มีข่าวกฎหมายดังกล่าว เกิด “ดราม่า” เกิดกระแสคัดค้าน เพราะแม้จะรู้ว่าเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับบุตรหลาน อีกทั้งเป็นมาตรฐานสากลที่ประเทศพัฒนาแล้วให้ความสำคัญ แต่ก็เป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งเมื่อช่วงต้นเดือน ก.ค. 2565 มีการหยิบยกเรื่องนี้มาพูดถึงกันในการเสวนา (ออนไลน์) หัวข้อ “คาร์ซีท...คาใจ” จัดโดย แผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.)
นิกร จำนง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะรองประธาน
คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยเบื้องลึกเบื้องหลังของการออกกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งผ่านการถอดบทเรียนจากต่างประเทศ แล้วพบว่า ประเทศระดับเดียวกับไทยที่มีการบังคับใช้กฎหมายแบบเดียวกัน ก็มีปัญหาเรื่องภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนเหมือนกัน
“เราไม่เทียบกับอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ที่เขาพัฒนาแล้ว มันผ่านไปแล้ว สถานะไม่เหมือนกัน แต่ฟิลิปปินส์คล้ายเรา
มาเลเซียคล้ายเรา เราก็เลยขอข้อมูลจากฟิลิปปินส์ แล้วฟิลิปปินส์ก็ชี้ตรงกับที่เราคิด คือประชาชนเขาก็ยากในการเข้าถึงเหมือนกัน เขาก็เลยกำหนดว่า 1.ให้รัฐส่งเสริมให้ราคาถูกลง 2.ราคาถูกลงแล้วต่อมาให้มีการผลิตขึ้น มีการส่งเสริมให้ทำในประเทศ ของเราเองยังไม่เคยมีบริษัทไหนทำเลยในประเทศไทย ก็มีสถานะด้อยกว่าฟิลิปปินส์อยู่ เรานำเข้าล้วนๆ” นิกร กล่าว
แต่ถึงจะทำทั้งการส่งเสริมให้ผลิตในประเทศ หรือลดภาษีหากนำเข้าจากต่างประเทศ ก็ยังมีครัวเรือนส่วนหนึ่งที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึง นิกร เล่าต่อไปว่า ฟิลิปปินส์ พยายามแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการจัดให้มีระบบ “เช่าคาร์ซีท” จึงกลายมาเป็นแนวทางการออกกฎหมายคาร์ซีทในไทย ที่ส่งเสริมให้มี “คาร์ซีทมือสอง” รวมถึงส่งเสริมการบริจาคสำหรับครัวเรือนที่เข้าไม่ถึง
ขณะเดียวกัน การพูดคุยกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในฐานะหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายจราจร เบื้องต้นทาง สตช. เห็นด้วยกับการระบุในกฎหมายว่าที่นั่งจัดพิเศษสำหรับเด็กไม่ใช่ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก ซึ่งหากจะใช้มาตรฐานสูงสุดระดับสากล คาร์ซีทหรือนั่งนิรภัยสำหรับเด็ก ที่ได้มาตรฐานดังกล่าวจะตกอยู่ราคาตัวละเกือบ 2 หมื่นบาท นอกจากนี้ กฎหมายที่ออกมายังให้อำนาจ สตช. ไปกำหนดหลักเกณฑ์ลักษณะที่นั่งจัดพิเศษสำหรับเด็ก
อีกทั้งยังขอความร่วมมือ สตช. ว่า ในช่วงแรกๆ ของการบังคับใช้กฎหมาย ขอให้ดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป “อย่าทำให้คาร์ซีทเป็นเรื่องคาใจ..เพราะถ้าประชาชนไม่ยอมรับกฎหมายจะเสียตั้งแต่ต้น” แต่เมื่อกฎหมายไปถึงการพิจารณาของวุฒิสภา (สว.) ที่ประชุม สว. ต้องการให้ใช้คำว่าที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก ซึ่งในขั้นตอนนี้กลายเป็นความเห็นที่ขัดแย้งกันระหว่างวุฒิสภา กับสภาผู้แทนราษฎร (สส.) กระทั่งต้องตั้ง กมธ. ขึ้นมาพิจารณากันใหม่
“มันจะมี 3 แบบ 1.ที่นั่งนิรภัยเต็มรูป ก็คือคาร์ซีทเต็มรูป ที่ปลอดภัย ที่เป็นมาตรฐาน 2.ที่นั่งพิเศษที่จัดสำหรับเด็กตรงนี้เบาลงมาหน่อย ให้ปลอดภัย และ 3.วิธีการอื่นใดสำหรับประเทศเรา แล้วตกลงกัน เจอกันครึ่งทางเป็นแบบนี้ กฎหมายขณะนี้เป็นแบบนี้ เราก็ยอมให้ผ่านตอนหลัง พอถึงจุดนี้เราก็จัดให้มีการประชุม กมธ. แล้วผมก็ได้เชิญหน่วยงาน
ที่เกี่ยวข้อง มีกรมศุลกากร กรมการค้าภายใน กระทรวงอุตสาหกรรม” นิกร ระบุ
รอง ปธ.กมธ. การคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร ขยายความเพิ่มเติมในส่วนความเห็นแย้งกันระหว่างที่ประชุม สว. กับ สส. ว่า ในขณะที่ทาง สว. ต้องการให้ใช้คำว่านิรภัย แต่การใช้คำดังกล่าวจะเกิดปัญหาตามมา เพราะมาตรฐานความปลอดภัยที่กระทรวงอุตสาหกรรมประกาศไว้ อิงกับมาตรฐานสากลโดยองค์การสหประชาชาติ (UN) หรือมาตรฐานสูงสุดเพียงมาตรฐานเดียว ทำให้กฎหมายบังคับใช้จริงได้ยากเพราะคาร์ซีทมาตรฐานระดับนี้มีราคาแพง
อีกด้านหนึ่ง องค์การอนามัยโลก (WHO) หน่วยงานด้านสุขภาพของสหประชาชาติ ยังทักท้วงมาอีกว่า หากไทยประกาศกฎหมายคาร์ซีทในลักษณะให้ทางเลือก 3 แบบข้างต้น จะไม่ผ่านการประเมินของ WHO ที่ใช้มาตรฐานสูงสุดเป็นเกณฑ์ เรื่องนี้ได้แย้งไปว่าหากใช้มาตรฐานดังกล่าวประชาชนคนไทยจะเดือดร้อนอย่างมาก ในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่ต้องการมาตรฐานระดับนั้น ซึ่งเป็นมาตรฐานของประเทศพัฒนาแล้ว เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ ที่ไทยยังอะลุ้มอล่วยให้ทำได้ อาทิ การนั่งท้ายรถกระบะ การนำพาหนะอื่นๆ มาดัดแปลงเป็นรถรับ-ส่งนักเรียน เป็นต้น
“บริบทสังคมไทย คือเราไม่ได้เป็นประเทศร่ำรวย อย่างรถโรงเรียนของเรา รถโรงเรียนของอเมริกา ผมเคยไปอยู่ มันแข็งแรงมาก ชนกับรถถังยังได้ มันถูก Design (ออกแบบ) มาเป็นพิเศษ แต่ของเรารถสองแถว แล้วถ้าไม่มีเด็กจะไปโรงเรียนอย่างไร มันเป็นลักษณะของประเทศที่เรียกว่ากำลังพัฒนาก็ได้ เราก็ต้องหาทางเอาตัวรอดไปตามบริบทของเรา
ดังนั้นการนั่งข้างหลังของรถกระบะก็ยังให้นั่งอยู่จนปัจจุบัน เราก็มาคิดค้นวิธี ตามหลักคือต้องไม่นั่งเลยเพราะถ้าชนแล้วบางทีตายยกครัว เราก็คิดวิธี 1.อย่าให้นั่งเกิน 6 คน เพราะถ้าเกิน 6 คนน้ำหนักมันจะเหวี่ยงตัว แล้วความเร็วไม่ให้เกิน 80 กม./ชม. มันก็ปลอดภัย คือนั่งข้างหลังไปงานทอดกฐินได้ แต่อย่านั่งให้มากแล้วอย่าขับให้เร็ว” นิกร ยกตัวอย่างเทียบเคียง
รอง ปธ.กมธ. การคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร ยังกล่าวอีกว่า เมื่อมีกฎหมายการทำความเข้าใจกับประชาชนก็เริ่มขึ้น และจะดีขึ้นต่อไปในอนาคต ขณะเดียวกัน ยังฝากถึงพ่อแม่ผู้ปกครอง หากมีฐานะดีหน่อยก็ซื้อคาร์ซีทเต็มรูปแบบ หากฐานะด้อยลงมาบ้างก็ซื้อที่นั่งเสริมสำหรับเด็ก หรือหากไม่มีจริงๆ ก็พยายามขับรถให้ช้าลง ด้วยความตระหนักว่ามีเด็กที่เป็นบุตรหลานของตนเองอยู่ในรถ
ขณะที่ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ควรหาแนวทางออกมาตรฐานความปลอดภัยแบบไทย (นอกเหนือจากมาตรฐานสากล) สำหรับคาร์ซีท..เพื่อเป็นทางเลือกแก่ประชาชน!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี