จากกรณีประชาชนที่มาทำบุญ ณ วัดธาตุทอง พระอารามหลวง เขตวัฒนา กรุงเทพฯ รวมถึงเจ้าหน้าที่วัดได้วิพาษณ์วิจารณ์ถึงความไม่โปร่งใส่ในการบริหารเงินบริจาคของวัด รวมถึงกรณีเงิน 150 ล้านบาท ที่ถูกปิดบัญชีไปและยังไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ใด นำไปสู่การที่ทางวัดได้มีหนังสือรายงานเกี่ยวกับคุณสมบัติของไวยาวัจกรวัดคนหนึ่ง ที่ดูแลการเงินของวัดไปยังสำนักงานเจ้าคณะภาค 1-2-3 (ธรรมยุต) วัดตรีทศเทพวรวิหาร พร้อมกับขอให้ทางเจ้าคณะภาค 1-2-3 มีคำสั่งทางปกครองให้เจ้าอาวาสวัดธาตุทอง ทำการถอดไวยาวัจกรคนดังกล่าวออกจากตำแหน่ง
จนล่าสุดเมื่อวันที่ 20 ก.ค.65 ที่ผ่านมา พระราชบัณฑิต รองเจ้าคณะภาค 1-2-3 (ธรรมยุต) ได้มีหนังสือถึงพระราชวรญาณโสภณ เจ้าอาวาสวัดธาตุทอง ขอให้ตรวจสอบคุณสมบัติไวยาวัจกรและหรือถอดถอนไวยาวัจกรคนหนึ่งออกจากตำแหน่งภายใน 15 วัน
เนื่องจากได้มีการตรวจสอบคุณสมบัติของไวยาวัจกรคนดังกล่าวแล้วพบว่าเป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติตามกฎมหาเถรสมาคม กล่าวคือเคยถูกศาลแขวงธนบุรีพิพากษาในคดีแพ่งมาแล้วเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2552 ในความผิดสัญญาค่ำประกัน ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาให้จำเลยและพรรคพวกชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 80,000 บาท โดยตามกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 18 (พ.ศ.2563) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนไวยาวัจกร หมวด 1 ข้อ 6 (9) ระบุว่า ต้องไม่เป็นผู้ที่เคยถูกลงโทษให้ออกจากราชการ หรือองค์การของรัฐบาลหรือบริษัทห้างร้านเอกชนในความผิดหรือมีมลทินมัวหมองในความผิดเกี่ยวกับการเงิน นั้น
นายจตุรงค์ จงอาษา นักวิชาการอิสระด้านพระพุทธศาสนา กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า โดยปกติไม่น่าจะมีวัดใดที่แต่งตั้งไวยาวัจกรถึง 10 คน โดยหากเป็นพระอารามหลวงทั่วไป แต่งตั้งเพียงคนเดียวก็ยังพอ หรือหากเป็นวัดที่มีภารกิจมากหน่อยก็อาจจะแต่งตั้งสัก 3 คน แบ่งเป็นดูแลอาคารสถานที่ 1 คน ฝ่ายกิจการในวัด 1 คน ฝ่ายการเงิน 1 คนเป็นต้น ก็น่าจะเพียงพอ ซึ่งกรณีวัดธาตุทอง อาจมีไวยาวัจกรดูแลการจัดการที่จอดรถคนหนึ่ง การเช่าที่คนหนึ่ง การเงินอีกสักคนหนึ่ง รวม 3 คน หรือถ้าจะเพิ่มก็คือด้านการจัดการทั่วไปอีกสักคนหนึ่ง ก็เพียงพอแล้ว
ทั้งนี้ หากเป็นบุคคลที่ได้รับตราตั้ง หมายถึงได้รับแต่งตั้ง ถือเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ดังนั้น หากใช้ตำแหน่งหน้าที่กระทำการโดยมิชอบก็อาจเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 แต่หากถามว่าเมื่อเกิดคดีความ ไวยาวัจกรที่ได้รับการแต่งตั้งจะต้องขึ้นศาลทุกคนหรือไม่ ต้องดูที่พนักงานสอบสวนว่าจะเขียนสำนวนอย่างไร รวมถึงอัยการและศาลจะพิจารณาอย่างไร เพราะคำว่าปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นถ้อยคำที่มีความหมายกว้าง เช่น คนหนึ่งอาจจะไม่ทำ แต่การปล่อยให้อีกคนหนึ่งทำโดยไม่ห้ามปราม ก็เข้าข่ายละเว้นอีกเช่นกัน
ซึ่งคดีความผิดตามมาตรา 157 ที่ออกไปจากวัดก็มีไม่น้อย บางคดีไวยาวัจกรรอด แต่บางคดีก็ไม่รอด หรือบางคดีไวยาวัจกรก็ถูกกันไว้เป็นพยาน หรือเจ้าอาวาสบางองค์ก็โดนคดีเต็มๆ ไม่ถูกกันไว้เป็นพยานก็มี โดยกรณีวัดธาตุทอง ในการสอบปากคำต้องเรียกไวยาวัจกรทั้ง 10 คนไปสอบ เพราะเป็นบุคคลที่มีตราตั้ง แต่การจะฟ้องคดีหรือกันบุคคลใดไว้เป็นพยานขึ้นอยู่กับดุลพินิจของอัยการและพนักงานสอบสวน รวมถึงคนที่ไม่มีตราตั้งด้วย เช่น บุคคลที่ได้รับมอบอำนาจให้กระทบการแทน อาทิ มีหนังสือมอบอำนาจให้ไปถอนเงินจากธนาคาร
นายจตุรงค์ กล่าวต่อไปว่า กรณีของวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ที่เกิดคดียักยอกเงินขึ้น มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาจากบุคคลที่ไม่มีส่วนได้-เสียกับทางวัด เพื่อประสานกับทางกองปราบและอัยการ ว่าบุคคลใดจะเป็นจำเลยหรือเป็นพยาน ลักษณะนี้ถือว่ามีความชัดเจน แต่กรณีวัดธาตุทองตนกลัวว่าจะไม่ชัด เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เป็นคนของใครหรือไม่ ซึ่งต้องเข้าใจบริบทของวัดนี้ด้วย เพราะวัดธาตุทองมีกรณีพิพาทเรื่องเงินๆ ทองๆ มานานแล้ว - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี