“จากประสบการณ์ที่ได้ทำงานกับคนที่มีปัญหาทางจิตใจ มากกว่าร้อยละ 99 เคยประสบกับความเจ็บปวดในวัยเด็กมาเกือบทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแค่การตีมือหรือก้นเท่านั้น แต่เด็กหลายคนโดนตบตีด้วยไม้กวาด สายไฟ หมวกนิรภัย และถูกกระทืบ ซึ่งถูกกระทำโดยคนในครอบครัว ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปจนโตเป็นผู้ใหญ่ และความรู้สึกหวาดกลัวอาจจะลดน้อยลง แต่ทุกครั้งที่เห็นอุปกรณ์หรือบุคคลที่เคยทำร้าย มักเหมือนมีมีดที่กรีดแผลในใจและทำให้ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นวนเวียนอยู่ในหัวอีกครั้ง”
ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา ผู้ก่อตั้ง “Mental Me” องค์กรภาคประชาสังคมที่ขับเคลื่อนประเด็นสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชน กล่าวในวงเสวนา
(ออนไลน์) หัวข้อ “เด็กที่เจ็บปวดคือผู้ใหญ่ที่เจ็บป่วย”จัดโดย bookscape ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เมื่อช่วงต้นเดือนก.ค. 2565 ชี้ถึงผลกระทบจากความรุนแรงที่ได้รับในวัยเด็ก อาจไม่จบแม้โตเป็นผู้ใหญ่ แต่จะฝังลึกอยู่ในจิตใจไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม ทั้งนี้ การรับมือที่ผู้โดนกระทำใช้จะมีหลากหลายวิธี
เช่น “บางคนเลือกส่งต่อการกระทำที่รุนแรงไปสู่คนอื่นด้วยการทำร้ายเพื่อน จึงทำให้อยู่ในวงจรความรุนแรงซ้ำๆ” ซึ่งผู้ใหญ่ที่เห็นเด็กใช้ความรุนแรงอาจไม่ได้มองถึงปัญหาที่เด็กพบเจอ แต่มองแค่ว่าเด็กคนนี้ใช้ความรุนแรง เด็กคนนี้ก้าวร้าวไม่ควรให้อภัย สุดท้ายเด็กก็ต้องถูกทำโทษและถูกไล่ออกจากสถานศึกษา หรือ “บางคนเลือกที่จะเก็บไว้กับตัวเอง ทำให้วันหนึ่งความเจ็บปวดทับถมจนเกิดเป็นปัญหาทางสุขภาพ” รวมถึงวิธีอื่นๆ เช่น การพบจิตแพทย์ การเลือกที่จะออกมาอยู่อาศัยคนเดียว โดยอดทนเพื่อให้ตนเองพ้นจากความเป็นผู้เยาว์และพอที่จะหาเลี้ยงตนเองได้
รศ.พญ.วนิดา เปาอินทร์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการคุ้มครองเด็ก และหัวหน้าหน่วยคุ้มครองเด็กรพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ อธิบายในมุมมองทางการแพทย์ ว่า “ประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็ก (Adverse Childhood Experiences” จะส่งผลต่อสุขภาพกายโดยตรงด้านการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความเครียด โดยแบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่ 1.ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) และ 2.อะดรีนาลีน (Adrenaline)
“เมื่อเกิดความเครียด กลัวหรือวิตกกังวล ฮอร์โมน เหล่านี้จะถูกหลั่งออกมาจากร่างกาย ซึ่งจะไปกระตุ้นส่วนต่างๆ ในร่างกาย และทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น โดยเป็นกลไกของร่างกายที่จะหนีรอดจากภัยอันตราย ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ในวัยเด็กและภายในบ้านของตนเอง จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยาในสมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์ (Amygdala) ซึ่งเป็นส่วนที่จะตอบสนองต่อความกลัว โดยจะทำให้สมองของเด็กมีขนาดใหญ่ขึ้นและทำงานมากกว่าปกติ” รศ.พญ.วนิดา ระบุ
รศ.พญ.วนิดา กล่าวต่อไปว่า “เรื่องราวที่คนอื่นว่าเป็นเรื่องปกติ เด็กจะคิดว่าเป็นเรื่องที่อันตราย และเป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้ แม้จะผ่านพ้นเหตุการณ์นั้นมาแล้วก็ตาม โดยเด็กที่มีภาวะดังกล่าว อาจตอบโต้ด้วยท่าทีที่รุนแรง” นอกจากนี้ ยังมีสมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกในแง่ของความทรงจำ หรือส่วน Hippocampusซึ่งเป็นส่วนเมื่อพบเรื่องราวที่ดี ส่วนนี้จะกระตุ้นให้มีความทรงจำร่วมอยู่ด้วย แต่ถ้าถูกทำร้ายเรื้อรังจะทำให้สมองเด็กมีขนาดเล็กลง ซึ่งจะทำให้มีปัญหาเรื่องความทรงจำ
รวมถึงสมองส่วนควบคุมความหุนหันพลันแล่น หรือ ส่วน Cerebral cortex เมื่อถูกกระตุ้นบ่อยครั้งสมองส่วนนี้จะทำงานลดลง โดยเป็นคำตอบว่าทำไมเด็กถึงแสดงออกอย่างก้าวร้าวในบางครั้ง ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน หรือ Emo Systems ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อการอักเสบในร่างกาย โดยอาจทำให้เกิดโรคบางโรคที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันของร่างกายได้
เชษฐา มั่นคง ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก กล่าวว่า สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ยังทำให้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่ส่งผลกับเด็กรุนแรงขึ้น โดยสาเหตุที่พบเจอจากการสำรวจ ได้แก่ ความเครียดด้านเศรษฐกิจจากการขาดรายได้ เนื่องจากมีการล็อกดาวน์ ทำให้หลายโรงงานปิดตัวลง ซึ่งเมื่อเกิดความรุนแรงในครอบครัว ไม่ว่าจากการทะเลาะระหว่างพ่อแม่หรือผู้ใหญ่เอาความไม่พอใจแสดงออกต่อเด็ก
ความรุนแรงเหล่านี้เด็กจะอยู่ในเหตุการณ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้จิตใจเด็กซึมซับความรุนแรงจนเกิดความเครียด ซึ่งความรุนแรงออกเป็น 3 ชั้น ได้แก่ 1.ชั้นบุคคล ซึ่งเป็นชั้นที่ได้รับผลกระทบทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ 2.ชั้นโครงสร้าง ซึ่งเป็นชั้นที่น่ากลัวในสังคมไทย เพราะมีการใช้อำนาจที่เหนือกว่าเด็ก และ 3.ชั้นวัฒนธรรม ซึ่งเป็นชั้นที่ถูกปลูกฝังในจิตใจและในสังคม
“สถานการณ์ที่เห็นได้ชัดอย่างกรณีของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เป็นความรุนแรงที่กระทบต่อจิตใจเด็กในพื้นที่เช่นกัน เนื่องจากเด็กได้ยินเสียงปืนทุกวัน การเห็นเลือด และคนเสียชีวิตตั้งแต่เกิด รวมถึงความรุนแรงที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ หรือความรุนแรงจากภัยพิบัติธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์สึนามิ ซึ่งจะฝังลึกภายในจิตใจเด็กเนื่องจากสูญเสียพ่อแม่ จึงเห็นได้ว่าเด็กที่ได้รับผลกระทบจะซึมซับพฤติกรรมความรุนแรงอย่างแน่นอนในอนาคต” ผอ.มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก กล่าว
บุษยาภา ศรีสมพงษ์ ผู้ก่อตั้ง “SHero Thailand” องค์กรภาคประชาสังคมที่มุ่งสร้างนักกฎหมายรุ่นใหม่เพื่อขับเคลื่อนประเด็นความรุนแรงในครอบครัว กล่าวว่า ความรุนแรงมีหลายรูปแบบทั้งที่“ความรุนแรงที่มองเห็นได้ชัด” และ “ความรุนแรงที่มองไม่เห็น” ถ้าหากเป็นความรุนแรงที่มองไม่เห็น และมีบาดแผลที่มองไม่เห็น จะทำให้ผู้โดนกระทำไม่สามารถบ่งบอกหรือสัมผัสแผลนั้นได้ชัดเจน ซึ่งอาจทำให้เป็นบาดแผลที่ใช้เวลาทั้งชีวิตในการรักษา
โดยบาดแผลที่มองไม่เห็นเกิดจากการใช้ความรุนแรงทางอารมณ์ การใช้ความรุนแรงทางคำพูด การเพิกเฉย และการตัดทรัพยากรพื้นฐาน “เมื่อเกิดความไม่เข้าใจหรือความไม่ตระหนักรู้ประเภทของความรุนแรง จะเกิดมายาคติตามมาในเรื่องของการช่วยเหลือและให้ความสำคัญผู้ถูกกระทำต่อเมื่อรุนแรงแล้ว” เช่น ในขณะที่เหตุการณ์เด็กถูกทำร้ายจนเสียชีวิต เมื่อเป็นข่าวมีหลายหน่วยงานให้ความสนใจ แต่เมื่อเด็กถูกกระทำโดยใช้ความรุนแรงทางคำพูดจากคนในครอบครัวหรือครู เรื่องเหล่านี้กลับถูกไม่ให้ความสำคัญ จนทำให้เกิดบาดแผลทางจิตใจเพิ่มขึ้น
“เมื่อย้อนกลับไปดูจะเห็นได้ว่า ผู้ปกครองที่เป็นผู้ใช้ความรุนแรง จะเลือกใช้กับคนที่ทำได้ภายในบ้านและไม่ใช้ความรุนแรงกับผู้อื่นนอกบ้าน เมื่อความรุนแรงเกิดขึ้นแล้วจะมีข้ออ้างต่างๆ เช่น เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ ไม่ตั้งใจที่จะทำ เป็นต้น ซึ่งสังคมไทยมองว่าเป็นเรื่องปกติและเป็นเรื่องส่วนตัว จึงทำให้ผู้ถูกกระทำหลายคน
รู้สึกโดดเดี่ยว สิ่งเหล่านี้จะเกิดบาดแผลซ้อนขึ้นมาเรื่อยๆและก็ถูกสะท้อนมาทางพฤติกรรม ทางอารมณ์
เกิดเป็น Reflect (ปฏิกิริยาสะทือน) ของ Trauma (ความเจ็บปวด) แล้วผู้ปกครองเห็นก็จะตัดสินไปว่าเด็กพวกนี้มันดื้อ จะไม่ให้ตีได้ยังไง โดยบางทีเจ้าหน้าที่คุ้มครองเด็กหรือผู้ที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องนี้ ยังไม่มีความเข้าใจเรื่องความรุนแรงมากนัก ซึ่งปัญหาอาจจะไม่ได้อยู่ที่ผู้ปกครองของเด็ก แต่ปัญหาอยู่ที่สังคมไทย” บุษยาภา กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี