ยังไม่ทันพูดถึง ผู้ที่มาใช้อำนาจบริหาร (นายกรัฐมนตรีและครม.) แทนปวงชนชาวไทย ที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร ครบตามที่เคยเรียนท่านผู้อ่านไว้ (ขาด จอมพล ป. พิบูลสงคราม, จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์,จอมพลถนอม กิตติขจร และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ก็พอดีมีเรื่อง “ประชาธิปไตยแบบแจกกล้วย” (Banana Distribution Democracy หรือ Money Politics) เข้ามาแทรกเมื่อเดือนกรกฎาคม 2565 บทความนี้เลยตกกระไดพลอยโจน ไปจนถึงบทที่ว่า “ถึงเวลาแล้วต้องหา “ที่มา” ใหม่ของนายกรัฐมนตรี (หัวหน้าของผู้ใช้อำนาจบริหารแทนปวงชนชาวไทย)”
ในอดีต ผู้ที่เข้ามาเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร (นายกรัฐมนตรี) ที่มาจากพรรคการเมืองหรือ สส. ที่ดีๆ ก็มีมากอยู่ อาทิ คุณควง อภัยวงศ์,ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช, ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช, คุณชวน หลีกภัย แต่ละท่านก็มีภูมิหลัง ทั้งการศึกษาและประสบการณ์เพียบพร้อมพอที่จะกลั่นกรองเอามาให้เห็นได้เช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรี ตุลาการทั้งสามท่าน ที่มาจากความจำเป็นของสถานการณ์ในขณะนั้น
แต่เมื่อเหตุการณ์ของประชาธิปไตยแบบแจกกล้วยเข้ามาแทรกกลางคัน จนบทความนี้ต้องเรียกร้องให้ปวงชนชาวไทย เจ้าของอำนาจอธิปไตยทั้งสาม (นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ) ต้องช่วยกันคิดอ่านหา “ที่มา” ใหม่ ของนายกรัฐมนตรี เพื่อแก้ปัญหาธุรกิจการเมือง การเมืองระบบกางมุ้ง Money Politics หรือรวมกันเรียกได้ว่า “ระบอบประชาธิปไตยแบบแจกกล้วย (Banana Distribution Democracy)” ที่ยังผลให้เกิดปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น ศีลธรรมและจริยธรรมเสื่อมโทรม
ผู้ลงคะแนนเสียงทั้งประชาชนและ สส. จำนวนไม่น้อย กลายเป็นผู้ที่เห็นแก่เงินหรือผลประโยชน์มากกว่าอุดมการณ์
และนี่แหละคือวัฒนธรรมการเมืองของประเทศไทยที่เป็นเช่นนี้มาถึง 90 ปีแล้ว จะโชคดีบางระยะที่ได้ตุลาการที่ดี ทหารที่ดี (เช่น พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา, พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่ไม่ยอมคด ไม่ยอมงอเพื่อปลูกกล้วย แจกกล้วยรักษาฐานอำนาจ เช่นในปัจจุบัน
ดังนั้น ข้อห้ามประการสำคัญของผู้ที่จะเข้ามาเป็น นรม.และรมต. ก็คือ จะต้องมิเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกภาพสิ้นสุดแล้วยังไม่เกินหนึ่งปี
ซึ่งถ้ามีข้อห้ามเช่นนี้กำหนดไว้ การซื้อเสียงจากประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ก็จะหมดไป การซื้อเสียงจากผู้ที่เป็น สส. หรือ สว. อยู่แล้ว ก็จะหมดไป เพราะ สส. และ สว. ผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติอยู่แล้ว ไม่มีสิทธิ์จะเข้าไปใช้อำนาจบริหารอีกอำนาจหนึ่ง
ระบอบประชาธิปไตยแบบแจกกล้วย (Banana Distribution Democracy) ซึ่งอยู่ในประเทศไทยมา 90 ปี ก็จะได้หมดไปเสียที
ธุรกิจการเมือง (Money Politics) ก็จะได้ยุติลงเสียที เพราะผู้สมัครเข้ารับเลือกตั้งเป็น สส., สว. เพื่อใช้อำนาจนิติบัญญัติแทนปวงชนชาวไทย ก็ไม่จำต้องหาเงินไว้เลี้ยงลูกพรรค แต่ละพรรคก็จะมีแต่อุดมการณ์ที่ดีในการออกกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย ให้บ้านเมืองไทยเป็นอารยประเทศได้เสียที
พรรคการเมืองจึงไม่ต้องถูกกติกาบังคับให้ต้องหาเงินมารักษาฐานเสียง เช่นในปัจจุบัน จะได้มีโอกาสทำหน้าที่ทางนิติบัญญัติและในการกำกับดูแลรัฐบาล ได้เต็มที่ขึ้น
คอร์รัปชั่นหรือการทุจริตประพฤติมิชอบ ก็จะค่อยๆ เบาบางลงอย่างรวดเร็ว เพราะนายกฯ และครม. ไม่ต้องมีหน่วยงานหากล้วย, หาเงิน เอาไว้แจก สส., สว. เวลาลงคะแนนเสียงไม่ไว้วางใจ หรือ ผ่าน พ.ร.บ. สำคัญ
ข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร ก็จะทำงานรับใช้ประชาชนดีขึ้นเพราะไม่ต้องหาเงินส่งผู้บังคับบัญชาเพื่อเลื่อนชั้น เลื่อนตำแหน่ง หรือเพื่อส่งส่วยผู้บังคับบัญชา
ศีลธรรม (Moral), จริยธรรม (Ethics) จะกลับเข้ามาอยู่ในสายเลือดของคนไทยเช่นเดิม การเล่นพรรคเล่นพวก (Crony System) การวางตัวเพื่อหาเงินส่งกลไกทางการเมืองก็จะค่อยๆ เบาบางลงจนหมดไปในที่สุด
ประเทศไทยก็จะได้ก้าวเข้าสู่ความเป็นอารยะในระบอบประชาธิปไตย (Civilized Democracy) และคนไทยส่วนใหญ่ก็จะพ้นความยากจนได้เร็วขึ้น
_________________________________
เมื่อเราได้ข้อห้าม อันเป็นบ่อเกิดของ “ที่มา” ของ นรม. และ ครม.แล้ว ก็จะต้องมาวิเคราะห์ดูว่า จะหาคนมาเป็น นรม.และครม. วิธีใด จึงจะเป็นประชาธิปไตยที่สากลยอมรับได้ มาใช้ในประเทศเรา
คุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็น นรม.และ ครม. ควรจะเป็นเช่นใดจึงจะได้ คนดี มีภูมิหลังในด้านการศึกษาและประสบการณ์มากพอ มีความสามารถเป็นนักบริหารระดับประเทศได้
แล้วจึงจะพิจารณาว่า จะมีการเลือกตั้งผู้มีคุณสมบัติเหล่านี้อย่างไร จึงจะเป็นประชาธิปไตยที่สากลยอมรับได้
พูดถึงการกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่ควรจะได้รับเลือกโดยตรงให้มาใช้อำนาจบริหารแทนปวงชนชาวไทย ก็ไม่น่าจะยากนัก ลองเอาคุณสมบัติของฝ่ายตุลาการที่เคยมาเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารทั้งสามท่าน ลองเอาคุณสมบัติของหัวหน้าคณะปฏิวัติรัฐประหารที่ยกตัวอย่างมาแล้ว 1 ท่าน ลองเอาคุณสมบัติของอดีตนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคการเมือง ที่เป็นตัวอย่างที่ดีได้ ก็มีหลายท่าน เช่น คุณควง อภัยวงศ์, ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช, ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช, คุณชวน หลีกภัย มาเรียงกันเข้า แล้วคัดเอาของดีของท่านออกมา
เราก็จะได้คุณสมบัติที่ดีมากมาย ที่น่าจะเข้าข่ายคุณสมบัติอย่างต่ำในการที่จะเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร (นรม. และ ครม.) ใช้อำนาจบริหารบ้านเมืองแทนปวงชนชาวไทยได้
เมื่อได้คนดีมามากมายแล้ว เราก็ต้องเลือกคนดีเหล่านี้หนึ่งท่านและหนึ่งกลุ่ม เข้ามาบริหารประเทศไทยเป็นระยะเวลา 1 เทอม (4 ปี) อย่างมากไม่เกิน 2 เทอม
เราก็จะได้รัฐบาลที่ประกอบด้วยคนดี มีความรู้ มีประสบการณ์ มาบริหารประเทศไทยอย่าง มีเสถียรภาพ 4 ปีเป็นอย่างน้อย ไม่ต้องพะวักพะวนอยู่กับการหากล้วย การแจกกล้วย การคอร์รัปชั่น การเล่นพวกเล่นพ้อง
ขอให้ท่านผู้อ่านลองไปคิดค้นดู ว่าวิธีหาคนดีมาบริหารบ้านเมืองตามแนวพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ที่เคยพระราชทานไว้จะทำให้ประเทศไทยดีขึ้นไหม
หากจะให้ผู้เขียนลองเรียบเรียงคุณสมบัติท่านอดีตตุลาการทั้ง 3 ท่าน อดีตหัวหน้าคณะราษฎร 1 ท่าน และอดีตนายกรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองทั้ง 4 ท่าน ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ก็น่าจะได้แก่
1.ภูมิหลัง ซึ่งแยกออกเป็นการศึกษาและประสบการณ์
1.1 การศึกษา ถึงแม้ทั้ง 7 ท่าน จะเป็นนักเรียนนอก เรียนจบกันมาดี ๆ แต่การศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในเมืองไทยเท่านั้น น่าจะเป็นการเพียงพอ เพราะการศึกษาในประเทศแทบจะทุกแขนง เราก็ไม่แพ้ต่างประเทศ ดังนั้น การสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ไม่ว่าจากในประเทศหรือต่างประเทศ ก็น่าจะเพียงพอ
1.2 ประสบการณ์ โดยที่เราต้องการนักบริหารประเทศ (นรม.และครม.) ระดับมืออาชีพ ผู้ที่อาจจะมาเป็นผู้ได้รับการเลือกตั้งเป็น นรม. และคณะของท่าน (ครม.) ก็ควรจะเป็นนักบริหารที่ประสบความสำเร็จมาแล้วเป็นที่พิสูจน์ได้ ในแขนงงานอาชีพของตน (a proven professional success in the field) ซึ่งแขนงงานต่าง ๆ ในโลกแห่งการทำงาน ก็น่าจะมีเพียงธุรกิจ ประชากิจ และรัฐกิจ ซึ่งกฎหมายลูกเกี่ยวกับคุณสมบัติ ก็ขึ้นอยู่กับผู้เขียนและผู้อนุมัติกฎหมาย จะต้องการให้กว้างหรือแคบเพียงใด
หากต้องการให้กว้าง มีผู้มารับการคัดเลือกกว้างขวางจากนักบริหารธุรกิจ ประชากิจ และรัฐกิจมืออาชีพ ก็อาจจะได้คน 3-5 แสนคนถ้าจะเขียนให้แคบลงหน่อยก็อาจจะได้เพียง 1-2 แสนคน
และผู้ที่จะให้ความเห็นชอบในคุณสมบัติเรื่องประสบการณ์ก็น่าจะได้แก่ กกต. หรือคณะกรรมการระดับสูงกว่าที่มีบทบัญญัติของกฎหมายลูกกำหนดไว้
1.3 การเป็นคนดี
การจะกำหนดคุณสมบัติของการเป็นคนดีนั้น จะเห็นยาก จึงสันนิษฐานไว้ก่อนว่า ทุกคนเป็นคนดี
ผู้ที่ควรจะขาดคุณสมบัติในการเข้าเป็นผู้แข่งขันเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารและคณะจึงไม่ควรเป็นหรือเคยเป็นคนไม่ดี อาทิ
เป็นผู้เคยต้องคดีล่วงละเมิดทางเพศ
เป็นผู้เคยต้องคดีทางอาญาที่มีโทษร้ายแรง
เป็นผู้เคยถูกกล่าวหาและถูกลงโทษทางวินัยหรือทางอาญาอย่างร้ายแรง
เป็นผู้ต้องคดียักยอก ฉ้อโกง
เป็นผู้เคยปฏิบัติผิดกฎขององค์กร (Code of Conduct) หรือจรรยาบรรณทางวิชาชีพอย่างร้ายแรงมาแล้ว
เป็นผู้กระทำการทุจริตประพฤติมิชอบ
และลักษณะต้องห้ามตาม ม.109 และ ม.206 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี 2540
_________________________________
ส่วนวิธีการจะเอาบุคคลที่มีคุณสมบัติข้างต้นเหล่านี้ มาทำหน้าที่ใช้อำนาจบริหารแทนปวงชนชาวไทยนั้น เพื่อให้เป็นประชาธิปไตย ก็ควรต้องใช้การเลือกตั้งโดยผู้แทนของปวงชน (Executive Electoral Body) เป็นคนเลือก นรม.และคณะเข้ามา
_________________________________
ผู้ที่เลือก (Electoral Body)ผู้แทนของปวงชนเพื่อเข้ามาใช้อำนาจนิติบัญญัติ ก็คือ ประชาชนที่มีคุณสมบัติเลือกตั้งได้ ตามรัฐธรรมนูญปี 2540 มาตรา 105 ซึ่งต้องการให้ประชาชนที่ว่านี้ มีโอกาสเลือกผู้แทนของตนเข้ามาใช้อำนาจแทนตนได้อย่างกว้างขวาง (Universality) จึงกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง (Electoral Body)ผู้เข้ามาใช้อำนาจนิติบัญญัติ (Legislative Electoral Body) ว่าได้แก่ “มีสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่าสิบแปดปี มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเขตเลือกตั้ง ไม่น้อยกว่า 90 วัน”
_________________________________
แต่คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้เข้ามาใช้อำนาจตุลาการ(Judiciary Electoral Body) ก็มิได้ใช้หลัก Universality เพราะการจะใช้อำนาจตุลาการแทนปวงชนชาวไทยได้ ก็ต้องจำมีความรู้พิเศษมีประสบการณ์พิเศษ มีความเป็นคนดีเป็นพิเศษ จึงต้องให้ตุลาการเองเป็นผู้เลือกตั้ง (Legislative Electoral Body)
_________________________________
เมื่อมาถึงคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผู้เข้ามาใช้อำนาจบริหารแทนปวงชนชาวไทย (Executive Electoral Body) ก็ต้องมิใช่บุคคลที่ “มีสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่าสิบแปดปี มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน” เท่านั้น และก็มิใช่ตุลาการเช่นกัน
แต่ก็ควรจะเป็น “นักบริหารมืออาชีพ ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วเป็นที่พิสูจน์ได้ ในแขนงงานอาชีพของตน” ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้ว 1-5 แสนคน ที่ กกต. ว่ามีสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี และคณะได้
_________________________________
แบบสภาสนามม้า เคยทำกันมาเมื่อปี พ.ศ.2516 มีกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์เป็นประธาน เลือกบุคคลที่เหมาะสมเข้ามา
ใช้อำนาจนิติบัญญัติแทนปวงชนชาวไทยในยุคที่มีสุญญากาศทางการเมือง ในขณะนั้น
ศิริภูมิ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี