เปิดเรื่องราว‘แท็กซี่’ใจหล่อ กับชีวิต2ผัวเมีย-ลูกน้อย บนเส้นทาง‘น้ำใจ’จากกทม.ถึงอุดร
15 สิงหาคม 2565 หลังจากชาวโซเซียลแห่ชื่นชมหนุ่มแท็กซี่หัวใจหล่อขับรถไกลเกือบ 500 กม.ไปส่ง 2 สามีภรรยาถึง อ.ศรีธาตุ จ.อุดรธานี โดยในโลกออนไลน์มีการแชร์เรื่องราวจากผู้ใช้เฟซบุ๊กซึ่งเป็นโชเฟอร์แท็กซี่ใจดี เล่าเรื่องราวตอนที่ขับรถส่งผู้โดยสาร แล้วได้พบกับครอบครัว 3 ชีวิต ประกอบด้วย พ่อแม่ และลูกน้อย นั่งร้องไห้อยู่ที่สถานีรถไฟหลักสี่ จึงจอดรถเข้าไปสอบถามจนทราบว่าทั้งครอบครัวไม่มีเงินจ่ายค่าห้องเช่า จึงโดนไล่ออกจากห้องกลางดึก ไม่มีที่ไป จึงเตรียมกลับบ้านที่ จ.อุดรธานี แต่รถก็หมดแล้ว โชเฟอร์จึงอาสาขับรถไปส่งกลับบ้านฟรี เป็นระยะทางกว่า 446 กิโลเมตร ต่อมาโชเฟอร์ยังมาโพสต์เล่าเรื่องราวอีกว่าได้พาครอบครัวนี้ส่งถึงหน้าบ้านที่ อ.ศรีธาตุ จ.อุดรธานี โดยสวัสดิภาพ ใช้เวลาเดินทางกว่า 12 ชั่วโมง เนื่องจากสภาพการจราจรติดขัดช่วงวันหยุดยาว ซึ่งมีผู้ใจบุญร่วมบริจาคค่าแก๊ส เพื่อช่วยเหลือแท็กซี่หนุ่มใจดี ที่ได้ปิดรับบริจาคเงินแล้ว
โชเฟอร์แท็กซี่ใจดี เล่าเหตุการณ์วันนั้น ว่า ตนขับแท็กซี่ที่กรุงเทพฯ วันนั้นเป็นวันแม่ วันที่ 12 สิงหาคน ขับรถตระเวนรับผู้โดยสารแถวถนนวิภาวดี-รังสิต ขับมาที่สถานีรถไฟหลักสี่ ประมาณเที่ยงคืน ก็เจอพ่อแม่ลูกนั่งอยู่ริมทางหน้าสถานีรถไฟ คุณแม่อุ้มลูกนั่งร้องไห้อยู่ จึงเดินไปจอดเผื่อเขาจะให้ช่วยอะไร คุณพ่อก็เดินมาหาบอกว่าอยากกลับบ้าน
ตอนแรกเขาบอกว่าอยู่กุมภวาปี ตนถามว่ากุมภวาปีอยู่ไหน เขาบอกว่าอยู่ จ.อุดรธานี ตนก็ร้องโอ้โห จ.อุดรธานี เลยหรือ แล้วถามว่ามาคุยกันก่อนไหมเกิดอะไรขึ้น คุยกันไปมาเขาก็ร้องไห้หนักมาก เขาเล่าให้ฟัง ถ้าช่วยได้จะช่วย จนทราบเรื่องว่าทำงานรับจ้างรายวันที่ เจ้าของห้องไม่พอใจเลยออกจากห้องเห็นว่าไม่มีจ่ายค่าห้องด้วย ตนสงสาร รวมทั้งมีเด็กวัย 4 เดือน
“ผมจึงตัดสินใจว่าเดี๋ยวผมไปส่งให้เลย ตกลงบ้านอยู่ อ.ศรีธาตุ ตอนนั่งอยู่ในรถ คนที่เป็นแม่ก็ร้องไห้ตลอด ผมก็ให้กำลังใจ แต่ผมติดใจว่าทำไมไล่กลางดึก เขาบอกว่าเจ้าของห้องรำคาญเสียงเด็กร้องไห้ ไล่ไม่ให้อยู่ ออกจากกรุงเทพเที่ยงคืนวันที่ 12 ส.ค. มาถึงบ้านที่ อ.ศรีธาตุ ประมาณเที่ยงวันที่ 13 ส.ค.โดยผมไม่คิดค่าใช้จ่ายแม้แต่บาทเดียว แต่ก็มีเพื่อนๆ และน้ำใจชาวโซเซียลโอนค่าเชื้อเพลิงมาให้”
แท็กซี่รายนี้ เล่าอีกว่า เหตุที่ช่วยเพราะตนดูแล้วสงสารเด็กอายุแค่ 4 เดือน ตอนแรกมาไกลกว่า 446 กม. ตนห่วงเรื่องรถจะเสีย แต่โชคดีที่รถไม่เสีย ตนขับรถแท็กซี่มาแล้ว 7-8 ปี เคยช่วยคนลักษณะแบบนี้บ้าง พอไปถึงบ้านเรียบร้อยที่ อ.ศรีธาตุ ตนก็กลับทันทีและตั้งใจว่าอีกไม่นานจะไปเยี่ยมลูกน้อยของ 2 คนนี้ เพราะน้องน่ารักมาก และขออนุญาตตั้งชื่อเด็กว่า “น้องกาฟิว” เพราะหน้าตาน่ารักเหมือนแมว และครอบครัวนี้เหมือนแมว 9 ชีวิต
ต่อมาผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านพักในหมู่ 8 บ้านศรีสง่าเมือง เขตเทศบาล ต.ศรีธาตุ อ.ศรีธาตุ จ.อุดรธานี พบกับสองผัวเมียคู่นี้ที่มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสที่ได้กลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย ขณะที่เพื่อนบ้านที่ทราบข่าวต่างพากันแห่มาดีใจ มาเยี่ยมครอบครัว และชื่นชมแท็กซี่ใจดีคนนี้ โดยฝ่ายสามีชื่อว่า “ลุงกล้วย” อายุ 50 ปี ซึ่งไม่ค่อยกลับมาบ้าน ไปอยู่กรุงเทพฯ 20-30 ปีแล้ว ญาติบางคนคิดว่าตายไปแล้ว ส่วนภรรยา คือ “นุ้ย” อายุ 41 ปี เป็นชาว อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
“ลุงกล้วย” เปิดใจกับผู้สื่อข่าวว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง ตน ภรรยา และลูกน้อย ไม่มีเงิน ถูกเจ้าของห้องไล่ออกจากห้องเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าห้อง และเขารำคาญเสียงเด็กร้องไห้ตลอดเวลา ตนก็พาภรรยาอุ้มลูกน้อยมาที่สถานีรถไฟ เพื่อจะขึ้นรถไฟกลับบ้าน ช่วงนั้นไปถึงดึกต้องรออีกวัน จึงพาเมียและลูกมานั่งข้างถนน ก็เจอพี่แท็กซี่ขับมาถามก็เล่าให้ฟัง จากนั้นไม่คิดว่าพี่เขาจะมาส่งถึงบ้านจริงๆ ไม่คิดเงินค่าโดยสารสักบาทเลย
“ลุงกล้วย” บอกอีกว่า มีอาชีพรับจ้างเจาะปูน แล้วไม่มีค่าห้อง พอไม่มีเงิน โดนไล่ออกจากห้อง ก็เลยตัดสินใจพาครอบครัวกลับมาบ้านเกิด อีกอย่างไม่ได้กลับบ้านมา 20-30 ปีแล้ว แต่ก่อนครอบครัวก็มีฐานะ มีพี่น้อง 7 คน ตนเป็นคนสุดท้าย พอดีมีปัญหาครอบครัวก็หนีไปบวช จากนั้นก็ไปเรื่อยเปื่อย สึกจากพระก็ไปทำงานที่กรุงเทพฯ ส่วนภรรยาคนนี้แต่ก่อนเป็นเพื่อนทำงานด้วยกัน สุดท้ายก็อยู่ด้วยกันจนมีลูก ตั้งชื่อว่า “เคอร์ฟิว” แต่พี่แท็กซี่บอกว่าเปลี่ยนเป็น “กาฟิว” ดีกว่า ตนดีใจมากที่พี่แท็กซี่ใจดีมาส่งถึงบ้านโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย พี่แท็กซี่เขาบอกว่า เงิน 500 บาทเก็บไว้ซื้อนมให้ลูกแล้วกัน ขอขอบคุณพี่แท็กซี่มากๆ ไม่คิดว่าเมืองไทยจะมีคนดีแบบนี้เหลืออยู่ ขอบคุณจากใจจริงๆ
“ต่อไปการใช้ชีวิตยังไม่คิด ขออยู่บ้านไปก่อน แต่บ้านหลังนี้ก็ไม่ใช่บ้านตัวเองเป็นบ้านพี่สาว แต่พี่สาวประกาศขายแล้ว ก็คงอยู่สักระยะ ดูว่าจะทำอะไรต่อยังคิดไม่ออก แต่ตอนนี้นอนหาวิธีคิดที่จะหางานทำและวางแผนใช้ชีวิตที่บ้านเกิดต่อไปก่อนเพราะจะเอาอย่างไร แต่ผมก็จะหางานทำเพื่อหาเงินมาดูแลลูกและเมียให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้” ลุงกล้วย กล่าวอย่างมีความหวัง
-005