“ในอดีตวิกฤตการณ์น้ำที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มักจะเป็นปัญหาการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง ซึ่งมักจะเกิดขึ้นตามวัฏจักรของวงจรธรรมชาติ แต่ปัจจุบันถ้าเราเริ่มสังเกต เราจะพบว่าปัญหาการขาดแคลนน้ำมันเริ่มเกิดขึ้นนอกฤดูกาลมากขึ้น จริงๆ ก็มีสาเหตุด้วยกันหลายปัจจัย ปัจจัยที่เรามักจะชี้กันไปที่เขาเลยคือเรื่องของ Climate Change (ความเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ) แต่บางทีเราก็อาจจะลืมไปว่า การเกิดขึ้นของ Climate Change มันเกิดขึ้นจากตัวเราเอง เราเป็นผู้สร้างให้มันเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น”
ตอนหนึ่งของการบรรยายหัวข้อ “แนวโน้มความต้องการใช้น้ำในเขตกรุงเทพมหานคร”โดย รศ.ดร.ธีรนงค์ สกุลศรี นักวิชาการ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ในรายการตามตะวัน ช่วงมหิดล นัมเบอร์ 1 สถานีวิทยุศึกษา FM 92.0 MHz ซึ่งเผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊คเพจ “Institute for Population and Social Research, Mahidol University, Thailand” ของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อเร็วๆ นี้ ถึงปัญหาการขาดแคลนน้ำที่ไม่ได้เป็นภัยตามฤดูกาลอีกต่อไป
นอกจาก Climate Change หรือความเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศแล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ต้องให้ความสำคัญ อาทิ ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำ ความต้องการใช้น้ำจากภาคส่วนต่างๆ ที่เพิ่มสูงขึ้น ผลกระทบของมลพิษต่อแหล่งน้ำสะอาด ไปจนถึงกฎกติกาที่เคยใช้อยู่เดิมอาจไม่เหมาะสมกับบริบทของยุคสมัยที่เปลี่ยนไป โดย “เมืองหรือชุมชนมีการขยายตัวมากขึ้น ไม่เพียงกรุงเทพฯ แต่ยังรวมถึงจังหวัดอื่นๆ และแม้กระทั่งจุดที่เป็นป่าต้นน้ำ” ทำให้แหล่งน้ำที่เคยมีอาจหายไป
รศ.ดร.ธีรนงค์ เล่าต่อไปว่า การใช้น้ำในประเทศไทยแบ่งเป็น 5 วัตถุประสงค์ คือ 1.ชลประทานเพื่อการเกษตรและปศุสัตว์ 2.อุปโภค-บริโภค 3.อุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว 4.ผลิตกระแสไฟฟ้า และ 5.ผลักดันน้ำทะเลไม่ให้หนุนเข้ามาเพื่อรักษาสมดุลของแหล่งน้ำ เมื่อแบ่งเป็นรายภาค พบว่า ภาคกลางมีความต้องการใช้น้ำมากที่สุดรองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือและภาคใต้ ตามลำดับ ทั้งนี้ ระยะหลังๆ เริ่มพบสถานการณ์ “การแย่งชิงน้ำ” ระหว่างลุ่มน้ำหรือระหว่างภาคส่วนต่างๆ กันแล้ว
“ปกติแล้วการแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำเราจะใช้วิธีการผันน้ำ ถ้าเกิดแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งคล้ายๆ กับเป็นเส้นเลือดในการส่งน้ำมาสู่ตอนกลางของประเทศ ฉะนั้นในบางครั้งที่น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาขาดแคลน ก็เลยมีความจำเป็นต้องผันน้ำจากลุ่มน้ำอื่น ซึ่งเราก็พบว่าบางทีจะมีข่าวเรื่องของการผันน้ำจากลุ่มน้ำท่าจีนหรือแม่กลองเข้ามาเติมลุ่มน้ำเจ้าพระยาเพื่อให้มันเพียงพอกับการใช้ในพื้นที่ภาคกลางตอนล่าง
ทีนี้ในอดีตที่เราคิดเรื่องการผันน้ำ เราอาจจะลืมมองว่าจริงๆ แล้วตัวลุ่มน้ำแม่กลองเองเขาก็เริ่มมีการขยายตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมากขึ้น และมีการขยายตัวของเมืองมากขึ้น ฉะนั้นในอนาคตถ้าเรามีการผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลองมาใช้เจ้าพระยา ก็อาจทำให้ส่วนลุ่มน้ำแม่กลองเองประสบปัญหาขาดแคลนน้ำได้” รศ.ดร.ธีรนงค์ ระบุ
ในประเด็นความเปลี่ยนแปลงของเมืองการตรวจสอบและเปรียบเทียบช่วงเวลาโดยภาพถ่ายทางอากาศ พบว่า “ตัดถนนผ่านไปถึงไหนการใช้ประโยชน์ที่ดินตรงนั้นก็เปลี่ยน..จากพื้นที่ทางการเกษตรก็กลายเป็นอาคารสูง” ซึ่งหลายคนคงเคยเห็นประเภทจากเป็นนาอยู่ดีๆ ก็มีคอนโดมิเนียมมาตั้ง หรือจากที่มีเพียงตึกแถว จู่ๆ ก็มีร้านสะดวกซื้อมาตั้งเป็นต้น ซึ่ง “การเปลี่ยนรูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดินก็ทำให้พฤติกรรมการใช้น้ำเปลี่ยนไปด้วย” โดยการคำนวณความต้องการใช้น้ำเพื่อผลิตน้ำประปาในประเทศไทย เท่าที่ค้นหาได้จะใช้ 3 อย่าง
ประกอบด้วย 1.การพยากรณ์ทางเศรษฐศาสตร์ 2.การพยากรณ์อนุกรมเวลา และ 3.การพยากรณ์การใช้น้ำของผู้ใช้น้ำ โดยนำข้อมูลย้อนหลังมาคำนวณ ดังนั้น จำเป็นต้องมีฐานข้อมูลที่ดี ซึ่งหากไปดูในต่างประเทศ จะมีการนำปัจจัยด้านประชากร เศรษฐกิจ สภาพอากาศ ความต้องการใช้น้ำและราคาของน้ำ
มาเป็นตัวแปรในการคำนวณ ส่วนในประเทศไทย บางครั้งพบการคำนวณโดยใช้ปริมาณความต้องการน้ำเฉลี่ยในแต่ละวัน โดยคิดจากความต้องการต่อคน-ต่อวัน ไปคูณกับจำนวนประชากรแล้วสรุปว่าเป็นความต้องการใช้น้ำในพื้นที่นั้น
แต่การคำนวณแบบนี้ก็อาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อน เพราะปริมาณและพฤติกรรมการใช้น้ำผันแปรไปตามเหตุปัจจัย เช่น ในฤดูร้อนใช้น้ำมากกว่าฤดูหนาว เพราะคนอาจจะอาบน้ำบ่อยกว่าหรือในบางประเทศน้ำดื่มบรรจุขวดมีราคาแพงคนก็จะดื่มน้ำจากก๊อกมากกว่า เป็นต้น ทั้งนี้เรื่องการใช้น้ำมีหลายตัวแปรที่เกี่ยวข้อง อาทิจำนวนประชากร ขนาดครัวเรือน รายได้ ราคาน้ำ ปริมาณน้ำฝน เช่น ครัวเรือนที่มีรายได้มาก อาจมีปริมาณการใช้น้ำมากกว่าครัวเรือนรายได้น้อย หรือหากน้ำมีราคาสูงปริมาณการใช้ก็อาจลดลง เป็นต้น
สำหรับการบรรยายในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง “การศึกษาแนวโน้มความต้องการน้ำประปาในเขตกรุงเทพมหานคร”ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการ Optimum Populationได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) นำข้อมูลจาก 3 แหล่ง คือ การประปานครหลวง สำนักงานสถิติแห่งชาติและกรมอุตุนิยมวิทยา มาพัฒนาเป็นสูตรคำนวณหาปริมาณความต้องการใช้น้ำ แล้วนำไปเทียบกับยอดจำหน่ายน้ำประปาของการประปานครหลวง ซึ่งพบว่าตัวเลขที่ได้ใกล้เคียงกัน
เมื่อมีสูตรคำนวณที่ใช้การได้ จึงนำไปใช้วิเคราะห์ปริมาณความต้องการน้ำ ระหว่างปี 2561-2581 แบ่งความต้องการเป็น 3 ระดับ คือสูงกลางและต่ำ ซึ่งหากใช้ตัวเลขระดับกลาง พบว่าในปี 2561 ความต้องการน้ำในเขตเมืองอยู่ที่ประมาณ 670 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ในปี 2581 พบความต้องการน้ำเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 700 ลูกบาศก์เมตร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.9- ร้อยละ 12 แต่หากใช้ตัวเลขระดับสูง ก็จำเป็นต้องหาน้ำเพิ่มขึ้นอีกถึงร้อยละ 15 เพื่อให้เพียงพอ
“ถ้าน้ำต้นทุนที่เราได้จากเขื่อนมันไม่เพียงพอหรือขาดแคลน โอกาสที่จะขาดน้ำมันย่อมต้องเกิดขึ้นแน่นอน เพราะขาดที่เรามีอยู่ทุกวันนี้มันยังเกิดภาวะแล้งในบางฤดูกาลในเขตพื้นที่อื่น แต่ถ้าเกิดปริมาณความต้องการน้ำมากขึ้น มันก็มีโอกาสที่ภาวะของน้ำแล้งอาจจะเพิ่มขึ้นมากไปอีก จริงๆ ตัวเลขของงานวิจัยนี้มันอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือน้อยลงได้ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม อยู่ที่มาตรการที่เราจะทำ” รศ.ดร.ธีรนงค์ กล่าว
รศ.ดร.ธีรนงค์ กล่าวทิ้งท้ายว่า เมื่อดู “นโยบายการพัฒนาเมือง” ยังพบว่า “กรุงเทพฯ ยังถูกวางให้เป็นจุดดึงดูดผู้คนทั้งจากในและนอกประเทศเข้ามาทำงาน” จึงคาดการณ์ได้ว่า “จำนวนประชากรย่อมมีแนวโน้มสูงขึ้น” ดังนั้นแล้วบทสรุปที่ผู้วิจัยได้จากการหารือกับผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย คือข้อเสนอ “กระจายสาธารณูปโภคออกไป” เพื่อลดการที่คนเข้ามากระจุกตัวแต่ในกรุงเทพฯ ที่นับวันจะมีพื้นที่น้อยลงเรื่อยๆ รวมถึง “ใช้กลไกราคาควบคุมพฤติกรรมการใช้น้ำ” เพื่อลดการใช้น้ำที่เกินกว่าความจำเป็น ไม่ให้ปัญหาขาดแคลนน้ำรุนแรงขึ้นในอนาคต!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี